วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553
8 เว็บไซต์สนุกกับรูปตัวเอง
8 เว็บไซต์สนุกกับรูปตัวเอง
การถ่ายภาพตัวเองจากโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นกิจวัตรประจำวันที่ผู้คนทั่วโลกปฏิบัติกันจนเคยชิน แต่การนำภาพเหล่านั้นมาสร้างอะไรที่แปลกใหม่นอกเหนือจากการเปลี่ยนสี ใส่กรอบ ใส่ไอค่อนรูปการ์ตูน มันยังมีอีกมากมาย...
โอกาสนี้จึงขอนำเสนอสารพัดเว็บไซต์ให้คุณสนุกกับภาพถ่ายของตัวเองในแบบฉบับที่นึกไม่ถึง และทุกเว็บก็ใช้เพียงแค่การอัปโหลดรูปหน้าตรงของคุณ (ยิ่งพื้นหลังเป็นสีขาวจะดีที่สุด) ขึ้นไปยังเว็บไซต์เท่านั้น รับประกันความสนุกและง่าย
1. MakeMeBabies เห็นหน้าลูกได้ตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์
เป็นผลงานของบริษัท Luxand ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบจดจำใบหน้า เพียงแค่อัปโหลดภาพหน้าตรงของคุณและคู่รัก (หรือจะเลือกจับคู่กับดาราฮอลลีวู้ดชาย-หญิงก็ได้) ไม่เพียงทำการผสานหน้าตาคุณและคนรักเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด คุณยังทำสิ่งที่ในโลกจริงทำได้ยาก และต้องเสียเงินมากมหาศาลอย่างการเลือกเพศของลูกได้ด้วย
วิธีการใช้งาน
1. อัปโหลดรูปตัวเอง
2. จัดกรอบภาพให้ไฮไลท์เฉพาะส่วนใบหน้า
3. อัปโหลดรูปแฟนของเรา หรือจะเลือกใบหน้าดาราก็ได้
4. เลือกกรอบภาพ
5. เลือกเพศ เลือกสีผิว (ขาว ดำ เอเชีย) และตั้งชื่อลูก
6. คลิกขวา เลือก Save AS เพื่อบันทึกภาพลงเครื่อง
* หมายเหตุ มีแอปบนไอโฟน ค้นหาจากแอปสโตร์โดยใช้ชื่อว่า iHatch หรือคลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์
2.In20Years ดูตัวเองตอนแก่อีก 20 ปีข้างหน้า
เว็บไซต์นี้เป็นเหมือนกระจกพิเศษที่มีการติดตั้งไทม์แมชชีนไว้ด้านหลัง เพียงแค่คุณอัปภาพของคุณขึ้นไปยังระบบ รอไม่ถึงนาที ก็จะเห็นภาพตัวเองในอีก 20 ปีข้างหน้าได้ โดยมีทั้งกระ ถุงใต้ตา รอยเหี่ยวย่น และตีนกามากมาย เพื่อให้ความสมจริงวิธีการใช้งาน
1. เลือกเพศ ระดับความแก่ที่ต้องการ +20 หรือ +30 ปีขึ้นไป และ เลือกว่าคุณติดยาเสพติดด้วยหรือไม่
2. รอสักพัก คุณจะได้ภาพตัวเองในวัยชราปรากฎเทียบกับภาพ ณ ปัจจุบันของคุณให้ใจหายเล่นๆ ถ้าต้องการบันทึกภาพลงเครื่อง กดปุ่ม SAVE IMAGE ทางด้านล่าง
หรือจะโพสขึ้นเฟสบุ๊กก็ได้
3. Weight Mirror อ้วนไป-ผอมไป รู้ได้ก่อนลด-เพิ่มน้ำหนัก
หลายคนมีคนทักว่าผอมไป พยามยามกินเพื่อให้อ้วนขึ้น เพราะคู่รักกระซิบบอกว่าถ้าคุณอ้วนจะดูดีกว่านี้ เพื่อขจัดปัญหาภาวะอ้วน หรือผอมเกินไป ขอเชิญคุณลงจากตาชั่ง แล้วอัปโหลดรูปตัวเองขึ้นไปบนเว็บไซต์นี้ จากนั้นก็เพียงเลือกว่า จะต้องการดูตัวเองยามอ้วน หรือ ผอมกว่านี้
วิธีการใช้งาน
1. อัปโหลดภาพของตัวเองขึ้นไป (ระบบจะสอบถามให้คุณอนุญาติให้เว็บไซต์เข้าถึงภาพของคุณ กดปุ่ม OK)
2. ระบุน้ำหนัก และส่วนสูงของคุณในปัจจุบัน
3. ปรับขีดเลื่อนระดับ ด้านบนแปลว่าต้องการดูตัวเองเมื่ออ้วนขึ้น และเลื่อนลงข้างล่าง ถ้าอยากดูตัวเองตอนผอมลง
4. กรอกอีเมล์เพื่อส่งรูปหลังจากเพิ่ม-ลดน้ำหนักไปยังอีเมล์ของคุณ
4. BeFunky เปลี่ยนรูปถ่ายเป็นวาดภาพ
ถ้าคุณมีเวลาพอ ก็สามารถนั่งตัวตรงเป็นชั่วโมงให้จิตรกรฝีมือเอกระบายสีบนผืนผ้าใบให้ แต่ถ้าเวลามีอยู่จำกัด แค่ 1-2 นาทีก็เพียงพอที่จะเสกภาพถ่ายของคุณให้ออกมาเป็นภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมัน สีอะคลีริค ฯลฯ
วิธีการใช้งาน
1. กด Upload รูปภาพของคุณ (ตามลูกศรสีชมพู) แล้วเลือกภาพ (สามารถเลือกได้ทั้งจากคอมพิวเตอร์ เว็บสื่อสังคมอย่างเฟสบุ๊ก ถ่ายจากเว็บแคมทันที หรือเลือกรูปตัวอย่างจากเว็บก็ได้
2. เมื่ออัปแล้วจะพบรูปตัวอย่างตรงกลางจอ จากนั้นก็เพียงคลิกเลือกเอฟเฟกต์ภาพต่างๆ ทางขวามือ
หากต้องการภาพสไตล์ภาพการ์ตูนฝรั่งก็เลือก CARTOONIZER
หากคุณเลือกภาพเอฟเฟกต์ใดที่เขียนว่า Plus แปลว่าจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเอฟเฟกต์ภาพนี้ แต่สามารถดูตัวอย่างผลงานได้โดยมีลายน้ำทับรูปไว้ อ่านรายละเอียดการใช้งาน BeFunky แบบเสียเงินได้ที่นี่ประโยชน์ที่ได้ก็คือ สามารถเซฟภาพที่ใส่เอฟเฟกต์ที่คุณชื่นชอบในขนาดใหญ่ยักษ์ได้ เลือกเอฟเฟกต์ที่เขียนว่า Pro ได้ ไม่มีโฆษณามากวนใจขณะเลือกภาพ
3. เมื่อชอบภาพเอฟเฟกต์ใดก็กดปุ่ม Save ลงเครื่องได้ทันที หรือกดปุ่ม Share เพื่อโพสรูปขึ้นเฟสบุ๊กอวดเพื่อนได้
วิดีโอสาธิตการแต่งภาพด้วยเว็บ Befunky
หมายเหตุ: มีแอปบนไอโฟน ค้นหาในแอปสโตร์ด้วยคำว่า Befunky FX หรือดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์ที่นี่
5. YearBookYourself ดูรูปในหนังสือรุ่น
เนื้อหาในหนังฮอลลีวู้ดที่เกี่ยวกับชีวิตไฮสคูล มักจะมีฉากการเปิดดูหนังสือรุ่นและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อในชั้นเรียน เราสามารถหยิบเอาความสนุกฉบับอเมริกันนั้นมาใช้กับรูปถ่ายของเราได้ด้วย เพียงอัปโหลดรูปคุณขึ้นไป และเลือกดีไซน์ทรงผมของชาวอเมริกันยุค 60's รับประกันว่าผลลัพธ์ที่ได้ฮาเกินคาด
วิธีใช้งาน
1. เข้าไปที่ yearbookyourself.com เลือกเมนูสีเหลือง Portrait > ติ๊กช่องยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน > อัปโหลดภาพ หรือ ถ่ายภาพจากเว็บแคม
2. ปรับลดขนาดภาพให้ใบหน้าพอดีกับเส้นที่กำหนด > เลือกว่าภาพของคุณเป็นชายหรือหญิง >
3. บันทึกภาพลงเครื่อง หรือโพสขึ้นเฟสบุ๊ก
6. Tatmash ลองรอยสักลงเข็มจริง
ความอมตะของการสัก คือ ความรู้สึกว่ามันจะอยู่ติดตัวเราไปจนตาย (ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีลบรอยสักมากมายก็ตาม) ดังนั้นการจะเพิ่มสีสันให้กับชีวิตชนิดที่ต้องมีน้ำตาร่วงเพราะความเจ็บ จึงมีความจำเป็นต้องเตรียมการนานหน่อย เว็บไซต์นี้ช่วยให้คุณเลือก และลองรอยสัก บนอวัยวะต่างๆ ของตัวคุณได้ ก่อนที่จะรูดม่านและลงเข็มสักจริง
วิธีการใช้งาน (ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก)
1. เลือกภาพของรอยสักที่ต้องการ
2. อัปโหลดภาพถ่าย หรือ ถ่ายภาพจากเว็บแคม ตรงส่วนของร่างกายที่ต้องการสัก
3. ลากภาพไปวางบนตำแหน่งร่างกายที่ต้องการ หมุนภาพ พอใจแล้ว กด Save
หากคุณต้องการส่งภาพรอยสักให้กับเว็บเพื่อให้คนอื่นนำไปใช้ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน ที่นี่ (ฟรี)
7. TryOn ลองแว่นใหม่โดยไม่ต้องไปที่ร้าน
วิธีการใช้งาน
1. กดปุ่ม Load Image > เลือกภาพตัวเองจากคอมพิวเตอร์
2. ปรับตำแหน่งกรอบสีขาวให้พอดีกับใบหน้า ตามตัวอย่างขวามือ
3. เลือกโครงใบหน้าของตัวเอง
4. เลือกเพศ แบบแว่นสายตา/กันแดด เลือกแบรนด์แว่น เลือก ราคา (แนะนำให้เลือกเฉพาะ 2 ข้อแรก จะได้มีแบบให้เลือกเยอะที่สุด) กด Show my frames
5. เวลาจะลองแว่นก็เพียงลากกรอบแว่นด้านขวามือมาบนใบหน้า หากเห็นว่ากรอบนี้สวยและอยากรู้รายละเอียดก็กด Detailed view of this fram ที่อยู่ด้านล่างของภาพคุณ ก็จะพบกับกรอบแว่นขนาดใหญ่ทันที
8. HairMixer เลือกทรงผมทรงตามใจฉัน
วิธีการใช้งาน
1. รูปด้านซ้ายให้อัปโหลดรูปของเราก่อน และทางด้านขวามือให้เลือกทรงผมของดารา จากแกลอรี่ภาพที่มีอยู่ มีทั้งผม ดำ ผมสั้น ผมบลอนด์ จากนั้นจะเห็นภาพทั้ง 2 ภาพคู่กัน
2. เลือกปุ่มบน ตรงกลางระหว่าง 2 ภาพ ที่เขียนว่า mix left face with right hair
3. ภายในเวลา 2 วินาที ก็จะเห็นภาพของคุณกับผมทรงใหม่แบบเดียวกับดาราฮอลลีวู้ดได้ทันที (คุณสามารถยืด หรือย่อ ขนาดของใบหน้าให้พอดีได้) พอใจแล้วกด Finalize
4. จะได้ตัวอย่างภาพ และภาพตัวเองกับผมทรงใหม่บนปกนิตยสารเป็นของแถม
หมายเหตุ มีแอปฯ ไอโฟน ค้นหาคำว่า HairMixer จากแอปสโตร์ หรือคลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์
อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ทั้งหมดนี้มีข้อเสียแบบเดียวกันก็คือ เมื่อบันทึกภาพลงมาเก็บไว้ในเครื่องแล้วจะได้ภาพที่มีความละเอียดต่ำทำให้ไม่สามารถนำไปอัดเป็นภาพถ่ายได้ จึงทำให้บางเว็บไซต์คิดค้นบริการพิมพ์ภาพ ซึ่งก็ถือเป็นรายได้ทางตรงของผู้สร้างเว็บไซต์ประเภทนี้
Thanks website manager.co.th
การถ่ายภาพตัวเองจากโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นกิจวัตรประจำวันที่ผู้คนทั่วโลกปฏิบัติกันจนเคยชิน แต่การนำภาพเหล่านั้นมาสร้างอะไรที่แปลกใหม่นอกเหนือจากการเปลี่ยนสี ใส่กรอบ ใส่ไอค่อนรูปการ์ตูน มันยังมีอีกมากมาย...
โอกาสนี้จึงขอนำเสนอสารพัดเว็บไซต์ให้คุณสนุกกับภาพถ่ายของตัวเองในแบบฉบับที่นึกไม่ถึง และทุกเว็บก็ใช้เพียงแค่การอัปโหลดรูปหน้าตรงของคุณ (ยิ่งพื้นหลังเป็นสีขาวจะดีที่สุด) ขึ้นไปยังเว็บไซต์เท่านั้น รับประกันความสนุกและง่าย
1. MakeMeBabies เห็นหน้าลูกได้ตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์
เป็นผลงานของบริษัท Luxand ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบจดจำใบหน้า เพียงแค่อัปโหลดภาพหน้าตรงของคุณและคู่รัก (หรือจะเลือกจับคู่กับดาราฮอลลีวู้ดชาย-หญิงก็ได้) ไม่เพียงทำการผสานหน้าตาคุณและคนรักเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด คุณยังทำสิ่งที่ในโลกจริงทำได้ยาก และต้องเสียเงินมากมหาศาลอย่างการเลือกเพศของลูกได้ด้วย
วิธีการใช้งาน
1. อัปโหลดรูปตัวเอง
2. จัดกรอบภาพให้ไฮไลท์เฉพาะส่วนใบหน้า
3. อัปโหลดรูปแฟนของเรา หรือจะเลือกใบหน้าดาราก็ได้
4. เลือกกรอบภาพ
5. เลือกเพศ เลือกสีผิว (ขาว ดำ เอเชีย) และตั้งชื่อลูก
6. คลิกขวา เลือก Save AS เพื่อบันทึกภาพลงเครื่อง
* หมายเหตุ มีแอปบนไอโฟน ค้นหาจากแอปสโตร์โดยใช้ชื่อว่า iHatch หรือคลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์
2.In20Years ดูตัวเองตอนแก่อีก 20 ปีข้างหน้า
เว็บไซต์นี้เป็นเหมือนกระจกพิเศษที่มีการติดตั้งไทม์แมชชีนไว้ด้านหลัง เพียงแค่คุณอัปภาพของคุณขึ้นไปยังระบบ รอไม่ถึงนาที ก็จะเห็นภาพตัวเองในอีก 20 ปีข้างหน้าได้ โดยมีทั้งกระ ถุงใต้ตา รอยเหี่ยวย่น และตีนกามากมาย เพื่อให้ความสมจริงวิธีการใช้งาน
1. เลือกเพศ ระดับความแก่ที่ต้องการ +20 หรือ +30 ปีขึ้นไป และ เลือกว่าคุณติดยาเสพติดด้วยหรือไม่
2. รอสักพัก คุณจะได้ภาพตัวเองในวัยชราปรากฎเทียบกับภาพ ณ ปัจจุบันของคุณให้ใจหายเล่นๆ ถ้าต้องการบันทึกภาพลงเครื่อง กดปุ่ม SAVE IMAGE ทางด้านล่าง
หรือจะโพสขึ้นเฟสบุ๊กก็ได้
3. Weight Mirror อ้วนไป-ผอมไป รู้ได้ก่อนลด-เพิ่มน้ำหนัก
หลายคนมีคนทักว่าผอมไป พยามยามกินเพื่อให้อ้วนขึ้น เพราะคู่รักกระซิบบอกว่าถ้าคุณอ้วนจะดูดีกว่านี้ เพื่อขจัดปัญหาภาวะอ้วน หรือผอมเกินไป ขอเชิญคุณลงจากตาชั่ง แล้วอัปโหลดรูปตัวเองขึ้นไปบนเว็บไซต์นี้ จากนั้นก็เพียงเลือกว่า จะต้องการดูตัวเองยามอ้วน หรือ ผอมกว่านี้
วิธีการใช้งาน
1. อัปโหลดภาพของตัวเองขึ้นไป (ระบบจะสอบถามให้คุณอนุญาติให้เว็บไซต์เข้าถึงภาพของคุณ กดปุ่ม OK)
2. ระบุน้ำหนัก และส่วนสูงของคุณในปัจจุบัน
3. ปรับขีดเลื่อนระดับ ด้านบนแปลว่าต้องการดูตัวเองเมื่ออ้วนขึ้น และเลื่อนลงข้างล่าง ถ้าอยากดูตัวเองตอนผอมลง
4. กรอกอีเมล์เพื่อส่งรูปหลังจากเพิ่ม-ลดน้ำหนักไปยังอีเมล์ของคุณ
4. BeFunky เปลี่ยนรูปถ่ายเป็นวาดภาพ
ถ้าคุณมีเวลาพอ ก็สามารถนั่งตัวตรงเป็นชั่วโมงให้จิตรกรฝีมือเอกระบายสีบนผืนผ้าใบให้ แต่ถ้าเวลามีอยู่จำกัด แค่ 1-2 นาทีก็เพียงพอที่จะเสกภาพถ่ายของคุณให้ออกมาเป็นภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมัน สีอะคลีริค ฯลฯ
วิธีการใช้งาน
1. กด Upload รูปภาพของคุณ (ตามลูกศรสีชมพู) แล้วเลือกภาพ (สามารถเลือกได้ทั้งจากคอมพิวเตอร์ เว็บสื่อสังคมอย่างเฟสบุ๊ก ถ่ายจากเว็บแคมทันที หรือเลือกรูปตัวอย่างจากเว็บก็ได้
2. เมื่ออัปแล้วจะพบรูปตัวอย่างตรงกลางจอ จากนั้นก็เพียงคลิกเลือกเอฟเฟกต์ภาพต่างๆ ทางขวามือ
หากต้องการภาพสไตล์ภาพการ์ตูนฝรั่งก็เลือก CARTOONIZER
หากคุณเลือกภาพเอฟเฟกต์ใดที่เขียนว่า Plus แปลว่าจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเอฟเฟกต์ภาพนี้ แต่สามารถดูตัวอย่างผลงานได้โดยมีลายน้ำทับรูปไว้ อ่านรายละเอียดการใช้งาน BeFunky แบบเสียเงินได้ที่นี่ประโยชน์ที่ได้ก็คือ สามารถเซฟภาพที่ใส่เอฟเฟกต์ที่คุณชื่นชอบในขนาดใหญ่ยักษ์ได้ เลือกเอฟเฟกต์ที่เขียนว่า Pro ได้ ไม่มีโฆษณามากวนใจขณะเลือกภาพ
3. เมื่อชอบภาพเอฟเฟกต์ใดก็กดปุ่ม Save ลงเครื่องได้ทันที หรือกดปุ่ม Share เพื่อโพสรูปขึ้นเฟสบุ๊กอวดเพื่อนได้
วิดีโอสาธิตการแต่งภาพด้วยเว็บ Befunky
หมายเหตุ: มีแอปบนไอโฟน ค้นหาในแอปสโตร์ด้วยคำว่า Befunky FX หรือดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์ที่นี่
5. YearBookYourself ดูรูปในหนังสือรุ่น
เนื้อหาในหนังฮอลลีวู้ดที่เกี่ยวกับชีวิตไฮสคูล มักจะมีฉากการเปิดดูหนังสือรุ่นและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อในชั้นเรียน เราสามารถหยิบเอาความสนุกฉบับอเมริกันนั้นมาใช้กับรูปถ่ายของเราได้ด้วย เพียงอัปโหลดรูปคุณขึ้นไป และเลือกดีไซน์ทรงผมของชาวอเมริกันยุค 60's รับประกันว่าผลลัพธ์ที่ได้ฮาเกินคาด
วิธีใช้งาน
1. เข้าไปที่ yearbookyourself.com เลือกเมนูสีเหลือง Portrait > ติ๊กช่องยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน > อัปโหลดภาพ หรือ ถ่ายภาพจากเว็บแคม
2. ปรับลดขนาดภาพให้ใบหน้าพอดีกับเส้นที่กำหนด > เลือกว่าภาพของคุณเป็นชายหรือหญิง >
3. บันทึกภาพลงเครื่อง หรือโพสขึ้นเฟสบุ๊ก
6. Tatmash ลองรอยสักลงเข็มจริง
ความอมตะของการสัก คือ ความรู้สึกว่ามันจะอยู่ติดตัวเราไปจนตาย (ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีลบรอยสักมากมายก็ตาม) ดังนั้นการจะเพิ่มสีสันให้กับชีวิตชนิดที่ต้องมีน้ำตาร่วงเพราะความเจ็บ จึงมีความจำเป็นต้องเตรียมการนานหน่อย เว็บไซต์นี้ช่วยให้คุณเลือก และลองรอยสัก บนอวัยวะต่างๆ ของตัวคุณได้ ก่อนที่จะรูดม่านและลงเข็มสักจริง
วิธีการใช้งาน (ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก)
1. เลือกภาพของรอยสักที่ต้องการ
2. อัปโหลดภาพถ่าย หรือ ถ่ายภาพจากเว็บแคม ตรงส่วนของร่างกายที่ต้องการสัก
3. ลากภาพไปวางบนตำแหน่งร่างกายที่ต้องการ หมุนภาพ พอใจแล้ว กด Save
หากคุณต้องการส่งภาพรอยสักให้กับเว็บเพื่อให้คนอื่นนำไปใช้ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน ที่นี่ (ฟรี)
7. TryOn ลองแว่นใหม่โดยไม่ต้องไปที่ร้าน
วิธีการใช้งาน
1. กดปุ่ม Load Image > เลือกภาพตัวเองจากคอมพิวเตอร์
2. ปรับตำแหน่งกรอบสีขาวให้พอดีกับใบหน้า ตามตัวอย่างขวามือ
3. เลือกโครงใบหน้าของตัวเอง
4. เลือกเพศ แบบแว่นสายตา/กันแดด เลือกแบรนด์แว่น เลือก ราคา (แนะนำให้เลือกเฉพาะ 2 ข้อแรก จะได้มีแบบให้เลือกเยอะที่สุด) กด Show my frames
5. เวลาจะลองแว่นก็เพียงลากกรอบแว่นด้านขวามือมาบนใบหน้า หากเห็นว่ากรอบนี้สวยและอยากรู้รายละเอียดก็กด Detailed view of this fram ที่อยู่ด้านล่างของภาพคุณ ก็จะพบกับกรอบแว่นขนาดใหญ่ทันที
8. HairMixer เลือกทรงผมทรงตามใจฉัน
วิธีการใช้งาน
1. รูปด้านซ้ายให้อัปโหลดรูปของเราก่อน และทางด้านขวามือให้เลือกทรงผมของดารา จากแกลอรี่ภาพที่มีอยู่ มีทั้งผม ดำ ผมสั้น ผมบลอนด์ จากนั้นจะเห็นภาพทั้ง 2 ภาพคู่กัน
2. เลือกปุ่มบน ตรงกลางระหว่าง 2 ภาพ ที่เขียนว่า mix left face with right hair
3. ภายในเวลา 2 วินาที ก็จะเห็นภาพของคุณกับผมทรงใหม่แบบเดียวกับดาราฮอลลีวู้ดได้ทันที (คุณสามารถยืด หรือย่อ ขนาดของใบหน้าให้พอดีได้) พอใจแล้วกด Finalize
4. จะได้ตัวอย่างภาพ และภาพตัวเองกับผมทรงใหม่บนปกนิตยสารเป็นของแถม
หมายเหตุ มีแอปฯ ไอโฟน ค้นหาคำว่า HairMixer จากแอปสโตร์ หรือคลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดผ่านไอทูนส์
อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ทั้งหมดนี้มีข้อเสียแบบเดียวกันก็คือ เมื่อบันทึกภาพลงมาเก็บไว้ในเครื่องแล้วจะได้ภาพที่มีความละเอียดต่ำทำให้ไม่สามารถนำไปอัดเป็นภาพถ่ายได้ จึงทำให้บางเว็บไซต์คิดค้นบริการพิมพ์ภาพ ซึ่งก็ถือเป็นรายได้ทางตรงของผู้สร้างเว็บไซต์ประเภทนี้
Thanks website manager.co.th
วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Office.live.com ไมโครซอฟท์ออฟฟิศออนไลน์ ใช้งานฟรี ทำงานได้ทุกที่
Office.live.com ไมโครซอฟท์ออฟฟิศออนไลน์ ใช้งานฟรี ทำงานได้ทุกที่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://office.live.com
การพิมพ์งานบนเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องใหม่ (เช่น กูเกิล ดอคส์ ก็ใช้กันแพร่หลาย) และการช่วยกันทำงานกับเพื่อนแบบเรียลไทม์ออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรส์ (เช่น Showdocument, Crocodoc ที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้) แต่วันนี้ "ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ" โปรแกรมที่คนทั้งโลกคุ้นเคย และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์มาติดตั้งลงเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น กลับเปิดให้ใช้ "ฟรี" บน "เว็บไซต์" ทำให้ไม่ต้องลงโปรแกรม และไม่ต้องสมัครสมาชิกใหม่ แค่มีอีเมล์ของฮอตเมล์ก็เข้าใช้งานได้ทันที
Office.live.com คือ เว็บแอปพลิเคชันสำหรับโปรแกรมไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ เวอร์ชัน 2010 หรืออาจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นไมโครซอฟท์ ออฟฟิศฉบับออนไลน์ที่ใช้งานบนหน้าเว็บไซต์ได้ทันที โดยไม่ต้องซื้อโปรแกรมมาติดตั้งลงเครื่อง ในเบื้องต้นมี 4 โปรแกรมให้เลือกใช้ ได้แก่ ไฟล์เอกสาร (Word Document), ไฟล์ตาราง (Excel), พรีเซ็นต์เทชัน (Powerpoint Presentation), และ บันทึก (OneNote notebook) เมื่อสร้างงานเอกสารแล้ว ก็สามารถบันทึกเก็บไว้ที่ สกายไดรฟ์ (SkyDive) หรือฮาร์ดดิสก์ออนไลน์ของไมโครซอฟท์นั่นเอง ซึ่งสามารถแก้ไขออนไลน์ได้ตลอดเวลา และยังสามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://office.live.com
การพิมพ์งานบนเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องใหม่ (เช่น กูเกิล ดอคส์ ก็ใช้กันแพร่หลาย) และการช่วยกันทำงานกับเพื่อนแบบเรียลไทม์ออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรส์ (เช่น Showdocument, Crocodoc ที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้) แต่วันนี้ "ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ" โปรแกรมที่คนทั้งโลกคุ้นเคย และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์มาติดตั้งลงเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น กลับเปิดให้ใช้ "ฟรี" บน "เว็บไซต์" ทำให้ไม่ต้องลงโปรแกรม และไม่ต้องสมัครสมาชิกใหม่ แค่มีอีเมล์ของฮอตเมล์ก็เข้าใช้งานได้ทันที
Office.live.com คือ เว็บแอปพลิเคชันสำหรับโปรแกรมไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ เวอร์ชัน 2010 หรืออาจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นไมโครซอฟท์ ออฟฟิศฉบับออนไลน์ที่ใช้งานบนหน้าเว็บไซต์ได้ทันที โดยไม่ต้องซื้อโปรแกรมมาติดตั้งลงเครื่อง ในเบื้องต้นมี 4 โปรแกรมให้เลือกใช้ ได้แก่ ไฟล์เอกสาร (Word Document), ไฟล์ตาราง (Excel), พรีเซ็นต์เทชัน (Powerpoint Presentation), และ บันทึก (OneNote notebook) เมื่อสร้างงานเอกสารแล้ว ก็สามารถบันทึกเก็บไว้ที่ สกายไดรฟ์ (SkyDive) หรือฮาร์ดดิสก์ออนไลน์ของไมโครซอฟท์นั่นเอง ซึ่งสามารถแก้ไขออนไลน์ได้ตลอดเวลา และยังสามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เรียนรู้ คำศัพท์ 1,000 คำ อังกฤษ -ไทย
เรียนรู้ คำศัพท์ 1,000 คำ อังกฤษ -ไทย
พูดอังกฤษ 1,200 ประโยค Conversations
3 Steps พูดอังกฤษให้สำเนียงเหมือนฝรั่ง
พูดอังกฤษ 1,200 ประโยค Conversations
3 Steps พูดอังกฤษให้สำเนียงเหมือนฝรั่ง
Rules of Etiquette : How to Set a Formal Table
Rules of Etiquette : How to Set a Formal Table
Table Setting
Hot Food Cart - Beverage Service #1
Hot Food Cart - Beverage Service #2
Table Setting
Hot Food Cart - Beverage Service #1
Hot Food Cart - Beverage Service #2
How to Be a Good Waiter : How to Upsell as a Waiter
How to Be a Good Waiter : How to Upsell as a Waiter
Restaurant Training
Handling of Utencils
How to Fold Napkins : How to Fold a Napkin
Service training at King Seafood Restaurant
waiter training
How to Fold Napkins : How to Fold a Napkin
Service training at King Seafood Restaurant
waiter training
เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง 1-7
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทที่ 5
บทที่ 6
บทที่ 7
เรียนรู้ทุกวันจะได้เก่งขึ้นทุกๆวันนะครับ
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทที่ 5
บทที่ 6
บทที่ 7
เรียนรู้ทุกวันจะได้เก่งขึ้นทุกๆวันนะครับ
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สร้าง QR code กันดีกว่า 2553 สุดยอดเทรนใหม่
สร้าง QR code เล่นกัน
Share on Facebook35 1 members like this. |
QR Code ก็คือรหัสชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่า two-dimensional bar code หรือใครจะเรียกว่า 2D bar code ก็แล้วแต่ โดยหลายชื่อนี้ ก็คือ QR Code เหมือนกันครับ ซึ่ง QR Code นี้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1994 โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ที่ชื่อ Denso-Wave และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ QR Code ไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลก ทำให้เรามักจะเรียกว่า 2D Bar Code กันแทนเพื่อเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า QR Code นั้น ได้ถูกนิยามความหมายว่าเป็น Quick Response หรือการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งมาจากความตั้งใจของผู้คิดค้น ที่จะให้ QR Code นี้สามารถถูกอ่านได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง ซึ่งตัวสัญลักษณ์ QR Code นี้ได้รับความนิยม จนกลายเป็นของธรรมดาในญี่ปุ่นไปแล้ว
ทุกวันนี้ QR Code นอกจากจะเอาไว้ใช้ในวงการค้าขายสินค้า หรือขนส่งแล้ว ยังเป็นที่นิยมนำเอามาใช้ในการตลาดด้วย เราจะเป็น QR Code ไปโผล่อยู่ตามโฆษณา ในแมกกาซีน หรือป้ายโฆษณา Bill Board เป็นต้น ซึ่งเราสามารถให้ QR Code นี้ เก็บข้อมูล url ของเราได้ และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับอ่าน QR Code หรือ 2D Bar Code นี้ไว้ในโทรศัพท์มือถือได้ง่าย ๆ แล้ว เมื่อพบ QR Code ในแมกกาซีน หรือป้ายโฆษณา Bill Board ก็สามารถเอามือถือไป scan เพื่อรับข้อมูลนั้นมาได้ โดยสะดวกง่ายดายครับ สำหรับ QR Code ตัวอย่างที่เห็นอยู่นี้ มีความหมายว่าเป็น http://keng.com หรือเป็น url ของเว็บไซต์ของผมนั่นเองครับ ซึ่งตัว QR Code นี้สามารถเก็บข้อมูลได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ wap url , web url หรือไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น
* ใครอยากมี QR Code หรือ 2D Bar Code เก๋ ๆ อย่างนี้บ้าง ลองไปที่เว็บ http://qrcode.kaywa.com
* ดาวน์โหลดโปรแกรมอ่าน QR Code เอาไว้เล่นกันเว็บ http://reader.kaywa.com/
ขอบคุณบทความจากเว็บ
http://keng.com
ปล.มือถือควรเป็นพวกรุ่นใหม่ๆ หน่อยนะ
โนเกีย ก็รุ่น ซี่รี่ N มั้ง
ไอโฟน
หรือพวกที่ลงโปรเเกรมในเครื่องได้
2D Bar CodeQR code
What is TAG?
หลังจากผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก (Facebook) มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ออกมาประกาศเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าในเฟสบุ๊กตามความกังวลของผู้ใช้ หน่วยงานที่ตรวจสอบดูแล และนักวิจารณ์ทั่วโลก ต่อไปนี้คือ 5 ที่จุดการตั้งค่าเวอร์ชันล่าสุดที่สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนควรรู้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวบนเฟสบุ๊กได้ตามใจต้องการ
1. ประวัติส่วนตัว (PERSONAL PROFILE)
เหนือสิ่งอื่นใด สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า ชื่อ เพศ และภาพในประวัติส่วนตัว จะเป็น 3 ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องปรากฏสู่สายตาประชาชนเฟสบุ๊ก (หรืออย่างน้อยก็กลุ่มเพื่อน) โดยภาพประวัติและชื่อจะถูกแสดงแบบอัตโนมัติเมื่อมีการพิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็นบน "wall" หรือพื้นที่เฟสบุ๊กของใครก็ตาม ฉะนั้นรูปเถื่อน ดิบ ถ่อย อย่าเผลอเอาขึ้นเชียว
สิ่งที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถทำได้คือการเลือกว่าใครจะสามารถเห็นข้อมูลอื่นๆในประวัติส่วนตัว (นอกเหนือจาก 3 ข้อมูลพื้นฐานข้างบน) เช่น สถานที่เกิด รายชื่อเพื่อน และงานอดิเรก
ก่อนจะไปตั้งค่า สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถตรวจสอบสถานะความเป็นส่วนตัวที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วยการคลิกที่คำว่า "Account" ซึ่งจะปรากฏอยู่มุมบนขวาของหน้าเฟสบุ๊ก จากนั้นจะมีดรอปดาวน์เมนู ให้เลือกที่ Privacy Settings
เมื่อเลือกแล้วจะปรากฏหน้าเพจ Basic Directory Information ให้คลิกที่ลิงก์ View Settings ซึ่งจะปรากฏในท้ายข้อความย่อหน้าแรก ก็จะสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการเปิดเผยประวัติส่วนตัวแก่ใคร
ข้อมูลประวัติส่วนตัวบางข้อมูลสามารถเก็บเป็นความลับเฉพาะไม่แบ่งใครก็ได้ โดยจะต้องเลือกที่ Customise ในเมนูดรอปดาวน์ และเลือกตั้งค่า "make this visible to" เป็น Only Me
2. การแบ่งปัน (SHARING ON FACEBOOK)
แน่นอนว่าสมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถเลือกได้ตามใจชอบว่า ใครสามารถเห็นความเป็นคุณบนเฟสบุ๊กได้บ้าง โดยต้องตั้งค่าในส่วน "Sharing on Facebook" ซึ่งต้องเข้าทางหน้า Privacy Settings
ค่า Sharing on Facebook ที่เฟสบุ๊กแนะนำให้สมาชิกนั้นต้องยอมรับว่าค่อนข้างเปิดเผยมาก แต่ใน Sharing on Facebook สมาชิกจะสามารถเลือกเปิดเผยข้อมูลเฉพาะเพื่อน Friends Only หรือเลือก Customise Settings ซึ่งเป็นลิงก์ข้อความสีฟ้าตัวจิ๋วที่บริเวณท้ายสุดของหน้า เพื่อระบุขอบเขตผู้ชมที่เล็กลงกว่า
หน้า Customise Settings นี้เองที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถ"ล็อก"ได้ว่าใครสามารถเห็นอีเมลแอดเดรส เบอร์โทรศัพท์มือถือ รวมถึงอนุญาตให้ใครสามารถเข้ามาเขียนข้อความที่ wall ได้บ้าง
สำหรับการเขียน status update หรือการโพสต์ข้อความอัปเดทสถานะแล้วต้องการล็อกให้สมาชิกบางคนเห็นเท่านั้น ก็สามารถคลิกที่สัญลักษณ์แม่กุญแจใต้กล่องข้อความ เพื่อตั้งค่าเป็นพิเศษได้
3. แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ (APPLICATIONS AND WEBSITES)
เพื่อการทำให้เฟสบุ๊กไม่รก สมาชิกสามารถเปิดหน้า Privacy Settings ซึ่งมีทางเข้าที่มุมซ้ายล่างของหน้าเพื่อลบแอปพลิเคชันขยะที่ไม่ต้องการออกได้ด้วยการคลิกที่ "remove unwanted or spam applications" ซึ่งสมาชิกจะสามารถเลือกให้เหลือแต่แอปพลิเคชันสุดโปรดอย่างเกม Farmville หรือ Bejeweled Blitz ได้
ที่น่าสนใจคือ สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถลบประวัติไม่ให้ใครค้นหาได้เจอด้วยการคลิกลิงก์ Edit Settings แล้วคลิก untick หรือยกเลิกการยินยอมให้ค้นหาพบโดยสาธารณะ
4. การปิดกั้นไม่ให้ใช้ (BLOCK LISTS)
สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถปิดกั้นไม่ให้ใครก็ได้เข้ามาชมข้อมูลส่วนตัว หรือข้อความอัปเดทสถานะ อย่างไรก็ตามควรรู้ว่า คนที่ถูกบล็อกจะสามารถติดต่อกับผู้ที่บล็อกได้ผ่านเกมบางเกม และแอปพลิเคชันบางตัว
5. เลิกใช้เฟสบุุ๊ก (QUITTING FACEBOOK)
กรณีที่สมาชิกอยากลบข้อมูลตัวเองออกจากเครือข่ายสังคมอย่างเฟสบุ๊ก สามารถเข้าไปที่ Help Centre ที่มุมล่างขวาของหน้าเฟสบุ๊ก เพื่อยกเลิกการใช้งานชื่อบัญชีเฟสบุ๊กอย่างหมดจด
ผู้ที่ต้องการยกเลิกเฟสบุ๊กจะต้องพิมพ์ข้อความ "delete my account" ลงในแถบค้นหา เลือกคำถาม "I want to permanently delete my account" แล้วแสดงความต้องการลบชื่อบัญชีด้วยการคลิกที่ "here" ซึ่งปรากฏที่ปลายประโยค แล้วยืนยันคำขอด้วยการกด "submit"
แต่สำรับคนที่อยาก"พัก"ขอเวลาออกห่างเฟสบุ๊กระยะหนึ่ง ก็สามารถเลือกตั้งค่าที่ลิงก์ Account (มุมขวาของหน้าเฟสบุ๊ก) แล้วคลิกที่ Deactivate Account หลังจากกรอกแบบฟอร์มเล็กน้อยจากเฟสบุ๊ก เฟสบุ๊กจะทำการพักและเก็บรักษาแฟ้มประวัติไว้เพื่อรอวันที่สมาชิกจะกลับมา re-activate อีกครั้ง แต่ผู้ใช้รายอื่นจะไม่สามารถเปิดชมเฟสบุ๊กของสมาชิกรายนั้นได้
อีกข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลิกใช้เฟสบุ๊กคือ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 53 (1 มิถุนายนในประเทศไทย) ถูกตั้งชื่อเรียกโดยกลุ่มคนออนไลน์ว่า Quit Facebook Day หรือวันเลิกใช้เฟสบุ๊กด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมาชิกเฟสบุ๊ก 31,000 ชื่อบัญชีทั่วโลกพร้อมใจกันตัดญาติกับเฟสบุ๊กด้วยการลบชื่อบัญชีออกเพื่อประท้วงว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรการการรักษาข้อมูลส่วนตัวใหม่ในเฟสบุ๊ก โดยเฉพาะการกำหนดค่าเริ่มต้นที่เปิดเผยข้อมูลเสรีมาก ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้ว่าต้องตั้งค่าความส่วนตัวใหม่นั้นสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปและตกอยู่ในความเสี่ยง
ขณะนี้ เฟสบุ๊กมีสมาชิก 450 ล้านคน ราว 3.75 ล้านคนเป็นผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-24 ปี (ขอบคุณข้อมูลจาก checkfacebook.com)
สำหรับไกด์ไลน์การตั้งค่าผู้ใช้เฟสบุ๊กทั้ง 5 ข้อนี้ ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจากบีบีซีนิวส์
1. ประวัติส่วนตัว (PERSONAL PROFILE)
เหนือสิ่งอื่นใด สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า ชื่อ เพศ และภาพในประวัติส่วนตัว จะเป็น 3 ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องปรากฏสู่สายตาประชาชนเฟสบุ๊ก (หรืออย่างน้อยก็กลุ่มเพื่อน) โดยภาพประวัติและชื่อจะถูกแสดงแบบอัตโนมัติเมื่อมีการพิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็นบน "wall" หรือพื้นที่เฟสบุ๊กของใครก็ตาม ฉะนั้นรูปเถื่อน ดิบ ถ่อย อย่าเผลอเอาขึ้นเชียว
สิ่งที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถทำได้คือการเลือกว่าใครจะสามารถเห็นข้อมูลอื่นๆในประวัติส่วนตัว (นอกเหนือจาก 3 ข้อมูลพื้นฐานข้างบน) เช่น สถานที่เกิด รายชื่อเพื่อน และงานอดิเรก
ก่อนจะไปตั้งค่า สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถตรวจสอบสถานะความเป็นส่วนตัวที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วยการคลิกที่คำว่า "Account" ซึ่งจะปรากฏอยู่มุมบนขวาของหน้าเฟสบุ๊ก จากนั้นจะมีดรอปดาวน์เมนู ให้เลือกที่ Privacy Settings
เมื่อเลือกแล้วจะปรากฏหน้าเพจ Basic Directory Information ให้คลิกที่ลิงก์ View Settings ซึ่งจะปรากฏในท้ายข้อความย่อหน้าแรก ก็จะสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการเปิดเผยประวัติส่วนตัวแก่ใคร
ข้อมูลประวัติส่วนตัวบางข้อมูลสามารถเก็บเป็นความลับเฉพาะไม่แบ่งใครก็ได้ โดยจะต้องเลือกที่ Customise ในเมนูดรอปดาวน์ และเลือกตั้งค่า "make this visible to" เป็น Only Me
2. การแบ่งปัน (SHARING ON FACEBOOK)
แน่นอนว่าสมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถเลือกได้ตามใจชอบว่า ใครสามารถเห็นความเป็นคุณบนเฟสบุ๊กได้บ้าง โดยต้องตั้งค่าในส่วน "Sharing on Facebook" ซึ่งต้องเข้าทางหน้า Privacy Settings
ค่า Sharing on Facebook ที่เฟสบุ๊กแนะนำให้สมาชิกนั้นต้องยอมรับว่าค่อนข้างเปิดเผยมาก แต่ใน Sharing on Facebook สมาชิกจะสามารถเลือกเปิดเผยข้อมูลเฉพาะเพื่อน Friends Only หรือเลือก Customise Settings ซึ่งเป็นลิงก์ข้อความสีฟ้าตัวจิ๋วที่บริเวณท้ายสุดของหน้า เพื่อระบุขอบเขตผู้ชมที่เล็กลงกว่า
หน้า Customise Settings นี้เองที่สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถ"ล็อก"ได้ว่าใครสามารถเห็นอีเมลแอดเดรส เบอร์โทรศัพท์มือถือ รวมถึงอนุญาตให้ใครสามารถเข้ามาเขียนข้อความที่ wall ได้บ้าง
สำหรับการเขียน status update หรือการโพสต์ข้อความอัปเดทสถานะแล้วต้องการล็อกให้สมาชิกบางคนเห็นเท่านั้น ก็สามารถคลิกที่สัญลักษณ์แม่กุญแจใต้กล่องข้อความ เพื่อตั้งค่าเป็นพิเศษได้
3. แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ (APPLICATIONS AND WEBSITES)
เพื่อการทำให้เฟสบุ๊กไม่รก สมาชิกสามารถเปิดหน้า Privacy Settings ซึ่งมีทางเข้าที่มุมซ้ายล่างของหน้าเพื่อลบแอปพลิเคชันขยะที่ไม่ต้องการออกได้ด้วยการคลิกที่ "remove unwanted or spam applications" ซึ่งสมาชิกจะสามารถเลือกให้เหลือแต่แอปพลิเคชันสุดโปรดอย่างเกม Farmville หรือ Bejeweled Blitz ได้
ที่น่าสนใจคือ สมาชิกเฟสบุ๊กทุกคนสามารถลบประวัติไม่ให้ใครค้นหาได้เจอด้วยการคลิกลิงก์ Edit Settings แล้วคลิก untick หรือยกเลิกการยินยอมให้ค้นหาพบโดยสาธารณะ
4. การปิดกั้นไม่ให้ใช้ (BLOCK LISTS)
สมาชิกเฟสบุ๊กสามารถปิดกั้นไม่ให้ใครก็ได้เข้ามาชมข้อมูลส่วนตัว หรือข้อความอัปเดทสถานะ อย่างไรก็ตามควรรู้ว่า คนที่ถูกบล็อกจะสามารถติดต่อกับผู้ที่บล็อกได้ผ่านเกมบางเกม และแอปพลิเคชันบางตัว
5. เลิกใช้เฟสบุุ๊ก (QUITTING FACEBOOK)
กรณีที่สมาชิกอยากลบข้อมูลตัวเองออกจากเครือข่ายสังคมอย่างเฟสบุ๊ก สามารถเข้าไปที่ Help Centre ที่มุมล่างขวาของหน้าเฟสบุ๊ก เพื่อยกเลิกการใช้งานชื่อบัญชีเฟสบุ๊กอย่างหมดจด
ผู้ที่ต้องการยกเลิกเฟสบุ๊กจะต้องพิมพ์ข้อความ "delete my account" ลงในแถบค้นหา เลือกคำถาม "I want to permanently delete my account" แล้วแสดงความต้องการลบชื่อบัญชีด้วยการคลิกที่ "here" ซึ่งปรากฏที่ปลายประโยค แล้วยืนยันคำขอด้วยการกด "submit"
แต่สำรับคนที่อยาก"พัก"ขอเวลาออกห่างเฟสบุ๊กระยะหนึ่ง ก็สามารถเลือกตั้งค่าที่ลิงก์ Account (มุมขวาของหน้าเฟสบุ๊ก) แล้วคลิกที่ Deactivate Account หลังจากกรอกแบบฟอร์มเล็กน้อยจากเฟสบุ๊ก เฟสบุ๊กจะทำการพักและเก็บรักษาแฟ้มประวัติไว้เพื่อรอวันที่สมาชิกจะกลับมา re-activate อีกครั้ง แต่ผู้ใช้รายอื่นจะไม่สามารถเปิดชมเฟสบุ๊กของสมาชิกรายนั้นได้
อีกข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลิกใช้เฟสบุ๊กคือ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 53 (1 มิถุนายนในประเทศไทย) ถูกตั้งชื่อเรียกโดยกลุ่มคนออนไลน์ว่า Quit Facebook Day หรือวันเลิกใช้เฟสบุ๊กด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมาชิกเฟสบุ๊ก 31,000 ชื่อบัญชีทั่วโลกพร้อมใจกันตัดญาติกับเฟสบุ๊กด้วยการลบชื่อบัญชีออกเพื่อประท้วงว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรการการรักษาข้อมูลส่วนตัวใหม่ในเฟสบุ๊ก โดยเฉพาะการกำหนดค่าเริ่มต้นที่เปิดเผยข้อมูลเสรีมาก ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้ว่าต้องตั้งค่าความส่วนตัวใหม่นั้นสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปและตกอยู่ในความเสี่ยง
ขณะนี้ เฟสบุ๊กมีสมาชิก 450 ล้านคน ราว 3.75 ล้านคนเป็นผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-24 ปี (ขอบคุณข้อมูลจาก checkfacebook.com)
สำหรับไกด์ไลน์การตั้งค่าผู้ใช้เฟสบุ๊กทั้ง 5 ข้อนี้ ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจากบีบีซีนิวส์
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Onlinedoctranslator l แปลเอกสารทั้งฉบับได้ฉับไว
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=९५३०००००७४१८४
Onlinedoctranslator.com คือ เว็บไซต์ที่คุณสามารถอัปโหลดไฟล์เอกสารภาษาใดๆ ก็ได้ที่ต้องการแปลขึ้นไปยังระบบ จากนั้นระบบจะทำการตรวจจับภาษาในไฟล์ต้นฉบับ และแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 50 ภาษาให้คุณ พร้อมให้บันทึกเป็นไฟล์เอกสาร ที่มีรูปแบบการจัดหน้าเหมือนต้นฉบับไม่ผิดเพี้ยน มาเก็บไว้ในเครื่องได้ จุดเด่นของเว็บไซต์ Onlinedoctranslator แปลภาษาจากไฟล์เอกสาร มีมากมาย อาทิ * ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก และไม่มีค่าใช้จ่าย * ทำงานแปลได้รวดเร็วมาก * แปลได้มากกว่า 50 ภาษา ทั้งภาษาที่ใช้ในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง * เอกสารที่แปลเสร็จแล้ว สามารถคงการจัดหน้าเหมือนต้นฉบับได้ทุกประการ * ไม่จำกัดขนาดไฟล์เอกสารที่อัปโหลดขึ้นไปเพื่อแปล * ใช้ระบบโปรแกรมของกูเกิล แปลภาษา ซึ่งได้รับการการันตีว่าดีที่สุดในบรรดา เว็บไซต์แปลภาษาทั้งหมดในปัจจุบัน * ไม่มีการเก็บไฟล์ไว้ที่เว็บไซต์เด็ดขาด ไฟล์จะส่งไปที่ระบบการแปลภาษาของกูเกิล และส่งกลับมาที่เครื่องคุณทันที วิธีการใช้งาน 1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Onlinedoctranslator รอให้หน้าจอเริ่มต้นการทำงาน จากนั้นระบบจะขอให้ติ๊กข้อความว่าตกลงใช้งานจาวา ให้ทำตามรูป จากนั้นจะสังเกตุเห็นโลโก้จาวาที่มุมขวาล่างของจอคอมพิวเตอร์
2. เลือกไฟล์เอกสารที่ต้องการแปลอัปโหลดไปยังระบบ (รองรับเฉพาะไฟล์ doc, docx; Excel: xls, xlsx; Powerpoint; ppt, pptx; Text xml, txt)
3. เลือกภาษาที่ตนเองต้องการให้แปล จากนั้นระบบจะขอให้บันทึกไฟล์ใหม่ลงเครื่อง เมื่อเสร็จแล้วกดปุ่มตรงกลางเพื่อเปิดไฟล์เอกสารที่แปลแล้วดูอีกที
ภาษาในเอเชียยังแปลไม่ดีเท่ากับภาษาตะวันตก เท่าที่ทดสอบกับการนำต้นฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ไปแปลเป็นภาษาต่างๆ ด้วยเว็บไซต์ Onlinedoctranslator พบว่า เมื่อเลือกให้แปลเป็นภาษาไทย (ทั้งตัวย่อและตัวเต็ม) ภาษาเกาหลี และภาษาญี่ปุ่น จะพบว่าตัวอักษรหลายตัวอ่านไม่ได้ กลายเป็นสี่เหลี่ยม
แต่ภาษาตะวันตก และตะวันออกกลางอื่นๆ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี
เทคนิคเล็กน้อยในการใช้ Onlinedoctranslator * เอกสารต้นฉบับ ควรตรวจสอบว่าเป็นข้อความที่มีการจัดหน้าแบบปกติ ไม่มีการเติมกล่องข้อความ หรือใส่หัวท้ายกระดาษ ฯลฯ * หลังจากบันทึกเอกสารที่แปลไปหนึ่งฉบับแล้ว คุณสามารถเลือกภาษาอื่นๆ ที่ต้องการแปลอีกได้ทันที โดยไม่ต้องอัปโหลดเอกสารใหม่อีกครั้ง สำหรับบริการ Onlinedoctranslator ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การแปลเอกสารทั้งฉบับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ของการแปลจะดีเท่าการใช้คนแปล เพราะก็ยังใช้ฐานข้อมูลการแปลของกูเกิล ซึ่งเป็นสมองกลอัจฉริยะ แต่มันก็เหมาะมากสำหรับการแปลเอกสารที่เราค้นพบผ่านเว็บไซต์ (เว็บค้นหาไฟล์เอกสาร docjax.com) อย่างน้อยก็ทุ่นแรง และขยายขอบเขตแห่งองค์ความรู้ของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ
Onlinedoctranslator.com คือ เว็บไซต์ที่คุณสามารถอัปโหลดไฟล์เอกสารภาษาใดๆ ก็ได้ที่ต้องการแปลขึ้นไปยังระบบ จากนั้นระบบจะทำการตรวจจับภาษาในไฟล์ต้นฉบับ และแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 50 ภาษาให้คุณ พร้อมให้บันทึกเป็นไฟล์เอกสาร ที่มีรูปแบบการจัดหน้าเหมือนต้นฉบับไม่ผิดเพี้ยน มาเก็บไว้ในเครื่องได้ จุดเด่นของเว็บไซต์ Onlinedoctranslator แปลภาษาจากไฟล์เอกสาร มีมากมาย อาทิ * ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก และไม่มีค่าใช้จ่าย * ทำงานแปลได้รวดเร็วมาก * แปลได้มากกว่า 50 ภาษา ทั้งภาษาที่ใช้ในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง * เอกสารที่แปลเสร็จแล้ว สามารถคงการจัดหน้าเหมือนต้นฉบับได้ทุกประการ * ไม่จำกัดขนาดไฟล์เอกสารที่อัปโหลดขึ้นไปเพื่อแปล * ใช้ระบบโปรแกรมของกูเกิล แปลภาษา ซึ่งได้รับการการันตีว่าดีที่สุดในบรรดา เว็บไซต์แปลภาษาทั้งหมดในปัจจุบัน * ไม่มีการเก็บไฟล์ไว้ที่เว็บไซต์เด็ดขาด ไฟล์จะส่งไปที่ระบบการแปลภาษาของกูเกิล และส่งกลับมาที่เครื่องคุณทันที วิธีการใช้งาน 1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Onlinedoctranslator รอให้หน้าจอเริ่มต้นการทำงาน จากนั้นระบบจะขอให้ติ๊กข้อความว่าตกลงใช้งานจาวา ให้ทำตามรูป จากนั้นจะสังเกตุเห็นโลโก้จาวาที่มุมขวาล่างของจอคอมพิวเตอร์
2. เลือกไฟล์เอกสารที่ต้องการแปลอัปโหลดไปยังระบบ (รองรับเฉพาะไฟล์ doc, docx; Excel: xls, xlsx; Powerpoint; ppt, pptx; Text xml, txt)
3. เลือกภาษาที่ตนเองต้องการให้แปล จากนั้นระบบจะขอให้บันทึกไฟล์ใหม่ลงเครื่อง เมื่อเสร็จแล้วกดปุ่มตรงกลางเพื่อเปิดไฟล์เอกสารที่แปลแล้วดูอีกที
ภาษาในเอเชียยังแปลไม่ดีเท่ากับภาษาตะวันตก เท่าที่ทดสอบกับการนำต้นฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ไปแปลเป็นภาษาต่างๆ ด้วยเว็บไซต์ Onlinedoctranslator พบว่า เมื่อเลือกให้แปลเป็นภาษาไทย (ทั้งตัวย่อและตัวเต็ม) ภาษาเกาหลี และภาษาญี่ปุ่น จะพบว่าตัวอักษรหลายตัวอ่านไม่ได้ กลายเป็นสี่เหลี่ยม
แต่ภาษาตะวันตก และตะวันออกกลางอื่นๆ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี
เทคนิคเล็กน้อยในการใช้ Onlinedoctranslator * เอกสารต้นฉบับ ควรตรวจสอบว่าเป็นข้อความที่มีการจัดหน้าแบบปกติ ไม่มีการเติมกล่องข้อความ หรือใส่หัวท้ายกระดาษ ฯลฯ * หลังจากบันทึกเอกสารที่แปลไปหนึ่งฉบับแล้ว คุณสามารถเลือกภาษาอื่นๆ ที่ต้องการแปลอีกได้ทันที โดยไม่ต้องอัปโหลดเอกสารใหม่อีกครั้ง สำหรับบริการ Onlinedoctranslator ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การแปลเอกสารทั้งฉบับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ของการแปลจะดีเท่าการใช้คนแปล เพราะก็ยังใช้ฐานข้อมูลการแปลของกูเกิล ซึ่งเป็นสมองกลอัจฉริยะ แต่มันก็เหมาะมากสำหรับการแปลเอกสารที่เราค้นพบผ่านเว็บไซต์ (เว็บค้นหาไฟล์เอกสาร docjax.com) อย่างน้อยก็ทุ่นแรง และขยายขอบเขตแห่งองค์ความรู้ของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
crocodoc l ทำงานพร้อมกันมัน(ดี)กว่าเยอะ!
crocodoc l ทำงานพร้อมกันมัน(ดี)กว่าเยอะ!
ต้องยอมรับว่าการร่วมกันทำงานผ่านออนไลน์ทุกวันนี้ ถึงแม้จะรวดเร็ว ฉับไว แต่ก็ยังต้องอาศัยหลายขั้นตอนกว่าจะได้งานที่สมบูรณ์แบบ และขั้นตอนมากมายที่ว่านั้นกลับเป็นขั้นตอนของการส่งอีเมล์ที่ทำซ้ำๆ ไปมา เริ่มจากการที่คนใดคนหนึ่งทำงานเสร็จจึงส่งอีเมล์ พร้อมแนบไฟล์ให้ผู้รับ เมื่อผู้รับเปิดเมล์จึงดาวน์โหลดไฟล์ อ่านงานจดหมด จากนั้นก็จะต้องจดบันทึกสิ่งที่ต้องการ หรือทำการแก้ไขในไฟล์เอกสารแล้วจึงส่งอีเมล์กลับไปให้ต้นทางอีกครั้ง และหากสงสัยในสิ่งที่จะต้องแก้ไข จึงจะต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย คือ โทรคุย หรือกระทั่งนัดเจอกัน
แต่ตอนนี้มีเว็บไซต์ดีๆ ใช้งานง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณทำงานพร้อมกับเพื่อนได้ทุกที่ ไม่เปลืองกระดาษ และเหลือเวลาไปทำอะไรๆ ที่มีคุณค่าต่อโลกใบนี้ได้อีกเพียบ
crocodoc.com คือ เว็บไซต์ที่จะช่วยให้คุณทำงานร่วมกับเพื่อนพร้อมๆ กัน ผ่านหน้าต่างเว็บเดียว คุณสามารถไฮไลท์จุดที่ต้องการแก้ไข พร้อมกับเขียนคำอธิบายอย่างละเอียด โดยที่อีกฝ่าย (ที่ออนไลน์หน้าต่างเว็บเดียวกัน) จะได้เห็นข้อความนั้นทันที ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่เต็มไปด้วยจุดที่คอมเมนต์อย่างละเอียดเป็นไฟล์ PDF เพื่ออ้างอิงทีหลังได้อีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่าคอลัมน์ Webware ของเราได้เคยนำเสนอเว็บไซต์ที่มีความสามารถคล้ายคลึงกันนี้มาแล้ว อาทิ ShowDocument l ปรึกษางานออนไลน์แบบเรียลไทม์ และ Useapollo l คอมเมนต์งานออนไลน์ ดีลงานได้คล่องตัว แต่ดูเหมือนว่า crocodoc ก็ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจจนจะต้องนำมารีวิวให้รู้จักกันในวงกว้าง โดยเฉพาะการใช้งานเป็นภาษาไทย ถือว่าทำได้ดีจนเป็นที่น่าพอใจ
วิดีโอสาธิตการใช้งาน crocodoc
จุดเด่นของ crocodoc
1. ใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก
2. หน้าตาเมนูที่สวยงาม เรียบง่าย ทำให้รู้สึกว่าใช้งานได้ง่ายกว่า เหมือนกับการเปิดชมเอกสารผ่านโปรแกรม Acrobat Reader ที่คุ้นเคย
3. มีฟีเจอร์แสดงจุดต่างๆ ที่แก้ไขในเอกสารได้ทั้งหมด (Annotations) และเรียงลำดับก่อนหลังตามหน้ากระดาษแต่ละหน้า ทำให้ไล่ดูทุกจุดที่ต้องแก้ไขได้อย่างละเอียดครบถ้วน
4. ปากกาไฮไลท์มีหลายสี ใช้งานควบคู่ไปกับการจดโน้ตเพื่อเขียนคอมเม้นต์ หรืออธิบายจุดที่ต้องการจะให้แก้ไขได้ โดยคุณสามารถกำหนดกับเพื่อนร่วมงานโดยระบุว่าถ้าไฮไลท์ด้วยสีเขียวแปลว่าสะกดผิด สีเหลืองหมายถึงใช้คำไม่สละสลวย หรือสีชมพูเป็นการใช้คำกำกวม เป็นต้น
5. สามารถนำเอกสารไปติดที่เว็บไซต์ได้ ด้วยการแปะโค้ดสั้นๆ (Embeded Code) โดยใช้คำสั่งนี้
http://crocodoc.com/demo?embedded=true
http://crocodoc.com/view/?sessionId={sessionId}&embedded=true
เตรียมพร้อมคอมพิวเตอร์ก่อนใช้งาน crocodoc
ไม่ต้องลงโปรแกรมใดๆ เพราะ crocodoc ทำงานได้บนเว็บเบราว์เซอร์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์ พลอเรอร์ 6 ขึ้นไป กูเกิล โครม ซาฟารี และไฟร์ฟอกซ์
เตรียมไฟล์เอกสารเพื่อใช้งาน crocodoc
ไฟล์เอกสารที่ crocodoc รองรับได้แก่ Microsoft Word (*.doc), Microsoft PowerPoint (*.ppt), PDF,ไฟล์ภาพ (PNG,JPG), และที่อยู่เว็บไซต์ (ทำการจับภาพหน้าจอของเว็บนั้นๆ มาแสดง)
วิธีการใช้งาน crocodoc
1. คลิกที่นี่ โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกแต่อย่างใด (แต่ถ้าสมัครก็จะทำให้เก็บเอกสารที่เคยประชุมออนไลน์ไว้ที่เมนู My Document ได้ (พื้นที่เก็บ 20 เมกะไบต์)) หรือจะเลือกบันทึกลิงก์ของเอกสารนั้นๆ เก็บไว้เป็นเว็บโปรด เพื่อเข้าไปดูหรือแก้ไขในภายหลังได้ (หรือทดลองใช้งานเอกสารที่มีไว้ให้ทดลองใช้ที่นี่ http://crocodoc.com/demo)
2. รออัปโหลดและแปลงเอกสารสักพัก จะพบกับหน้าจอแสดงเอกสาร และเครื่องมือที่คล้ายกับโปรแกรม PDF และ WORD ผสมกัน พร้อมให้คุณแก้ไขได้ทันที
3. คลิกที่เครื่องมือต่างๆ เพื่อแก้ไขไฟล์งานแต่ละจุด (ตัวอย่างเป็นการแก้ไขเอกสารบทความ Flixtime l เสกคลิปวิดีโอแจ่มๆ ได้ง่ายกว่าที่คิด! ซึ่งอยู่ในรูปแบบไฟล์เวิร์ด (Word)) อาทิ
เพิ่มโน้ต
ไฮไลท์ข้อความแต่ละประโยค (ถ้าไฟล์ต้นฉบับเป็นรูปภาพจะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ เพราะไม่อ่านตัวอักษรในภาพได้)
วาดรูปหรือวงกลมจุดที่ไม่ต้องการได้ พิมพ์ข้อความใหม่ เพื่อแสดงคำแก้ไขแล้วในแต่ละข้อความได้
ขีดค่าทำที่ไม่ต้องการได้
นอกจากนี้ crocodoc ยังสามารถ
- สามารถค้นคำที่ต้องการซึ่งอยู่ตำแหน่งใดๆ ในเอกสารได้ (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ)
- กดปุ่ม Share เพื่อส่งอีเมล์ หรือ ลิงก์ที่อยู่ของหน้าต่างนี้ให้เพื่อนเพื่อเข้ามาร่วมกันชมและแก้ไขงานไปพร้อมๆ กัน
- ทุกครั้งที่เพิ่มการแก้ไขจุดใดๆ จะมีการเก็บข้อมูลไว้ที่กล่อง Anotation มุมขวาล่าง
- เมื่อแก้ไขพร้อมกันเสร็จแล้ว กดปุ่ม Export > Download File เพื่อดาวน์โหลดเอกสารที่มีการระบุจุดที่ต้องแก้ไขเอาไว้ไปอ้างอิงทีหลังได้ โดยไฟล์นั้นจะอยู่ในรูปแบบของไฟล์ PDF ได้
ใครบ้างที่เหมาะจะใช้งานแก้ไขเอกสารออนไลน์ด้วย crocodoc
* นักเรียน นักศึกษา เมื่อต้องการระดมสมองทำงานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์เป็นกลุ่มๆ
* นักดนตรี นักแต่งเพลง ร่วมออกแบบโน้ตเพลง และเนื้อร้องไปพร้อมๆ กัน
* บริษัทคู่ค้าร่ายย่อย สามารถส่งเอกสารปรู๊ฟให้ตรวจก่อนเซ็นสัญญาจริงภายหลัง
ฯลฯ
ข้อดี
1. หน้าต่างชมเอกสารมีฟีเจอร์คล้ายกับการเปิดชมเอกสาร PDF ผ่านโปรแกรมอโดบี อโครแบต รีดเดอร์ (Adobe Acrobat Reader) เช่น ซูมข้อความ เข้าออกในบางจุด ปรับขนาดตัวอักษรสูงสุด 300% ค้นหาคำต่าง ๆที่อยู่ในเอกสารได้ ซึ่งหลายคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ทำให้ใช้งานได้เร็วและง่ายขึ้น
2. สามารถใช้งานภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งการเพิ่มโน้ต พิมพ์ข้อความแก้ไข ค้นหาคำศัพท์ภาษาไทยในเอกสารได้ และเมื่อบันทึกการแก้ไขทั้งหมดลงเครื่องในรูปแบบของไฟล์ PDF ต้นฉบับที่เป็นภาษาไทยยังคงอ่านภาษาไทยได้เหมือนเดิม ทั้งยังสามารถกดดูรายละเอียดทุกจุดที่เพิ่มโน้ตหรือที่ต้องการแก้ไขได้ทั้งหมด เหมือนกับที่เราใส่ข้อมูลไว้บนเว็บไซต์ก่อนหน้านี้
3. มีระบบช่วยเหลือหากมีปัญหาการใช้งาน โดยสามารถคุยกับทีมงานได้ผ่านหน้าต่างแชตได้ทันที
ข้อเสีย
1. ขาดหน้าต่างแชต ดังนั้นจึงอาจจะต้องออนไลน์โปรแกรมสนทนาแบบเห็นหน้าและเสียงอย่าง MSN ควบคู่กันไปด้วย
2. ฟังก์ชันการ ไฮไลท์ ขีดค่า หากทำกับภาษาไทยคำสั้นๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร (มักจะไฮไลท์เกินคำที่ต้องการ) แต่ภาษาอังกฤษสามารถทำงานได้แบบไร้ปัญหา
สรุป
แนวคิดการทำงานออนไลน์ร่วมกันแบบเรียลไทม์กับเพื่อนที่อยู่กันคนละมุมโลกนี้ กำลังจะเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกมหาศาลและทำให้เกิดบรรยากาศของออฟฟิศเคลื่อนที่ (Mobile Office) ได้อย่างแท้จริงๆ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเว็บไซต์เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ไมโครซอฟ์ ออฟฟิศ เตรียมบรรจุความสามารถในการทำงานเอกสารออนไลน์ลงไปในโปรแกรม ออฟฟิศ 2010 ของตนด้วย
อย่างไรก็ดี หากคุณต้องการมั่นใจว่าการใช้งาน crocodoc กับไฟล์งานที่เป็นความลับของบริษัท แนะนำว่าให้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันโปร ที่มีค่าใช้จ่าย (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) แต่จะมั่นใจได้ว่าเอกสารที่คุณอัปโหลดขึ้นไปจะถูกเข้ารหัสด้วย SSL (Secure Sockets Layer) แบบเดียวกับที่ใช้ในระบบของการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ หรือการทำธุรกรรมของธนาคารแบบออนไลน์ และป้องกันด้วยไฟร์วอล์อีกชั้นหนึ่ง จึงมั่นใจได้ว่าการทำงานของคุณจะราบรื่น และปลอดภัยอย่างแน่นอน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ crocodoc
ผู้ร่วมก่อตั้ง crocodoc เป็นทีมงานหัวกระทิจากมหาวิทยาลัย MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology ซึ่งมีผลงานคล้ายกัน ก่อนหน้านี้ คือ webnotes.net ซึ่งเน้นใช้งานในหมู่ผู้คณาจารย์และนักศึกษา แต่สำหรับ crocodoc เน้นกลุ่มคนทั่วไป
สำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์ สามารถส่งอีเมล์ไปที่ contact@crocodoc.com เพื่อขอรหัสผ่าน API แล้วนำฟีเจอร์การแก้เอกสารออนไลน์ไปใส่ในเว็บไซต์ของตัวเองได้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://crocodoc.com/api/
ต้องยอมรับว่าการร่วมกันทำงานผ่านออนไลน์ทุกวันนี้ ถึงแม้จะรวดเร็ว ฉับไว แต่ก็ยังต้องอาศัยหลายขั้นตอนกว่าจะได้งานที่สมบูรณ์แบบ และขั้นตอนมากมายที่ว่านั้นกลับเป็นขั้นตอนของการส่งอีเมล์ที่ทำซ้ำๆ ไปมา เริ่มจากการที่คนใดคนหนึ่งทำงานเสร็จจึงส่งอีเมล์ พร้อมแนบไฟล์ให้ผู้รับ เมื่อผู้รับเปิดเมล์จึงดาวน์โหลดไฟล์ อ่านงานจดหมด จากนั้นก็จะต้องจดบันทึกสิ่งที่ต้องการ หรือทำการแก้ไขในไฟล์เอกสารแล้วจึงส่งอีเมล์กลับไปให้ต้นทางอีกครั้ง และหากสงสัยในสิ่งที่จะต้องแก้ไข จึงจะต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย คือ โทรคุย หรือกระทั่งนัดเจอกัน
แต่ตอนนี้มีเว็บไซต์ดีๆ ใช้งานง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณทำงานพร้อมกับเพื่อนได้ทุกที่ ไม่เปลืองกระดาษ และเหลือเวลาไปทำอะไรๆ ที่มีคุณค่าต่อโลกใบนี้ได้อีกเพียบ
crocodoc.com คือ เว็บไซต์ที่จะช่วยให้คุณทำงานร่วมกับเพื่อนพร้อมๆ กัน ผ่านหน้าต่างเว็บเดียว คุณสามารถไฮไลท์จุดที่ต้องการแก้ไข พร้อมกับเขียนคำอธิบายอย่างละเอียด โดยที่อีกฝ่าย (ที่ออนไลน์หน้าต่างเว็บเดียวกัน) จะได้เห็นข้อความนั้นทันที ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่เต็มไปด้วยจุดที่คอมเมนต์อย่างละเอียดเป็นไฟล์ PDF เพื่ออ้างอิงทีหลังได้อีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่าคอลัมน์ Webware ของเราได้เคยนำเสนอเว็บไซต์ที่มีความสามารถคล้ายคลึงกันนี้มาแล้ว อาทิ ShowDocument l ปรึกษางานออนไลน์แบบเรียลไทม์ และ Useapollo l คอมเมนต์งานออนไลน์ ดีลงานได้คล่องตัว แต่ดูเหมือนว่า crocodoc ก็ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจจนจะต้องนำมารีวิวให้รู้จักกันในวงกว้าง โดยเฉพาะการใช้งานเป็นภาษาไทย ถือว่าทำได้ดีจนเป็นที่น่าพอใจ
วิดีโอสาธิตการใช้งาน crocodoc
จุดเด่นของ crocodoc
1. ใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องสมัครสมาชิก
2. หน้าตาเมนูที่สวยงาม เรียบง่าย ทำให้รู้สึกว่าใช้งานได้ง่ายกว่า เหมือนกับการเปิดชมเอกสารผ่านโปรแกรม Acrobat Reader ที่คุ้นเคย
3. มีฟีเจอร์แสดงจุดต่างๆ ที่แก้ไขในเอกสารได้ทั้งหมด (Annotations) และเรียงลำดับก่อนหลังตามหน้ากระดาษแต่ละหน้า ทำให้ไล่ดูทุกจุดที่ต้องแก้ไขได้อย่างละเอียดครบถ้วน
4. ปากกาไฮไลท์มีหลายสี ใช้งานควบคู่ไปกับการจดโน้ตเพื่อเขียนคอมเม้นต์ หรืออธิบายจุดที่ต้องการจะให้แก้ไขได้ โดยคุณสามารถกำหนดกับเพื่อนร่วมงานโดยระบุว่าถ้าไฮไลท์ด้วยสีเขียวแปลว่าสะกดผิด สีเหลืองหมายถึงใช้คำไม่สละสลวย หรือสีชมพูเป็นการใช้คำกำกวม เป็นต้น
5. สามารถนำเอกสารไปติดที่เว็บไซต์ได้ ด้วยการแปะโค้ดสั้นๆ (Embeded Code) โดยใช้คำสั่งนี้
http://crocodoc.com/demo?embedded=true
http://crocodoc.com/view/?sessionId={sessionId}&embedded=true
เตรียมพร้อมคอมพิวเตอร์ก่อนใช้งาน crocodoc
ไม่ต้องลงโปรแกรมใดๆ เพราะ crocodoc ทำงานได้บนเว็บเบราว์เซอร์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์ พลอเรอร์ 6 ขึ้นไป กูเกิล โครม ซาฟารี และไฟร์ฟอกซ์
เตรียมไฟล์เอกสารเพื่อใช้งาน crocodoc
ไฟล์เอกสารที่ crocodoc รองรับได้แก่ Microsoft Word (*.doc), Microsoft PowerPoint (*.ppt), PDF,ไฟล์ภาพ (PNG,JPG), และที่อยู่เว็บไซต์ (ทำการจับภาพหน้าจอของเว็บนั้นๆ มาแสดง)
วิธีการใช้งาน crocodoc
1. คลิกที่นี่ โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกแต่อย่างใด (แต่ถ้าสมัครก็จะทำให้เก็บเอกสารที่เคยประชุมออนไลน์ไว้ที่เมนู My Document ได้ (พื้นที่เก็บ 20 เมกะไบต์)) หรือจะเลือกบันทึกลิงก์ของเอกสารนั้นๆ เก็บไว้เป็นเว็บโปรด เพื่อเข้าไปดูหรือแก้ไขในภายหลังได้ (หรือทดลองใช้งานเอกสารที่มีไว้ให้ทดลองใช้ที่นี่ http://crocodoc.com/demo)
2. รออัปโหลดและแปลงเอกสารสักพัก จะพบกับหน้าจอแสดงเอกสาร และเครื่องมือที่คล้ายกับโปรแกรม PDF และ WORD ผสมกัน พร้อมให้คุณแก้ไขได้ทันที
3. คลิกที่เครื่องมือต่างๆ เพื่อแก้ไขไฟล์งานแต่ละจุด (ตัวอย่างเป็นการแก้ไขเอกสารบทความ Flixtime l เสกคลิปวิดีโอแจ่มๆ ได้ง่ายกว่าที่คิด! ซึ่งอยู่ในรูปแบบไฟล์เวิร์ด (Word)) อาทิ
เพิ่มโน้ต
ไฮไลท์ข้อความแต่ละประโยค (ถ้าไฟล์ต้นฉบับเป็นรูปภาพจะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ เพราะไม่อ่านตัวอักษรในภาพได้)
วาดรูปหรือวงกลมจุดที่ไม่ต้องการได้ พิมพ์ข้อความใหม่ เพื่อแสดงคำแก้ไขแล้วในแต่ละข้อความได้
ขีดค่าทำที่ไม่ต้องการได้
นอกจากนี้ crocodoc ยังสามารถ
- สามารถค้นคำที่ต้องการซึ่งอยู่ตำแหน่งใดๆ ในเอกสารได้ (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ)
- กดปุ่ม Share เพื่อส่งอีเมล์ หรือ ลิงก์ที่อยู่ของหน้าต่างนี้ให้เพื่อนเพื่อเข้ามาร่วมกันชมและแก้ไขงานไปพร้อมๆ กัน
- ทุกครั้งที่เพิ่มการแก้ไขจุดใดๆ จะมีการเก็บข้อมูลไว้ที่กล่อง Anotation มุมขวาล่าง
- เมื่อแก้ไขพร้อมกันเสร็จแล้ว กดปุ่ม Export > Download File เพื่อดาวน์โหลดเอกสารที่มีการระบุจุดที่ต้องแก้ไขเอาไว้ไปอ้างอิงทีหลังได้ โดยไฟล์นั้นจะอยู่ในรูปแบบของไฟล์ PDF ได้
ใครบ้างที่เหมาะจะใช้งานแก้ไขเอกสารออนไลน์ด้วย crocodoc
* นักเรียน นักศึกษา เมื่อต้องการระดมสมองทำงานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์เป็นกลุ่มๆ
* นักดนตรี นักแต่งเพลง ร่วมออกแบบโน้ตเพลง และเนื้อร้องไปพร้อมๆ กัน
* บริษัทคู่ค้าร่ายย่อย สามารถส่งเอกสารปรู๊ฟให้ตรวจก่อนเซ็นสัญญาจริงภายหลัง
ฯลฯ
ข้อดี
1. หน้าต่างชมเอกสารมีฟีเจอร์คล้ายกับการเปิดชมเอกสาร PDF ผ่านโปรแกรมอโดบี อโครแบต รีดเดอร์ (Adobe Acrobat Reader) เช่น ซูมข้อความ เข้าออกในบางจุด ปรับขนาดตัวอักษรสูงสุด 300% ค้นหาคำต่าง ๆที่อยู่ในเอกสารได้ ซึ่งหลายคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ทำให้ใช้งานได้เร็วและง่ายขึ้น
2. สามารถใช้งานภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งการเพิ่มโน้ต พิมพ์ข้อความแก้ไข ค้นหาคำศัพท์ภาษาไทยในเอกสารได้ และเมื่อบันทึกการแก้ไขทั้งหมดลงเครื่องในรูปแบบของไฟล์ PDF ต้นฉบับที่เป็นภาษาไทยยังคงอ่านภาษาไทยได้เหมือนเดิม ทั้งยังสามารถกดดูรายละเอียดทุกจุดที่เพิ่มโน้ตหรือที่ต้องการแก้ไขได้ทั้งหมด เหมือนกับที่เราใส่ข้อมูลไว้บนเว็บไซต์ก่อนหน้านี้
3. มีระบบช่วยเหลือหากมีปัญหาการใช้งาน โดยสามารถคุยกับทีมงานได้ผ่านหน้าต่างแชตได้ทันที
ข้อเสีย
1. ขาดหน้าต่างแชต ดังนั้นจึงอาจจะต้องออนไลน์โปรแกรมสนทนาแบบเห็นหน้าและเสียงอย่าง MSN ควบคู่กันไปด้วย
2. ฟังก์ชันการ ไฮไลท์ ขีดค่า หากทำกับภาษาไทยคำสั้นๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร (มักจะไฮไลท์เกินคำที่ต้องการ) แต่ภาษาอังกฤษสามารถทำงานได้แบบไร้ปัญหา
สรุป
แนวคิดการทำงานออนไลน์ร่วมกันแบบเรียลไทม์กับเพื่อนที่อยู่กันคนละมุมโลกนี้ กำลังจะเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกมหาศาลและทำให้เกิดบรรยากาศของออฟฟิศเคลื่อนที่ (Mobile Office) ได้อย่างแท้จริงๆ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเว็บไซต์เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ไมโครซอฟ์ ออฟฟิศ เตรียมบรรจุความสามารถในการทำงานเอกสารออนไลน์ลงไปในโปรแกรม ออฟฟิศ 2010 ของตนด้วย
อย่างไรก็ดี หากคุณต้องการมั่นใจว่าการใช้งาน crocodoc กับไฟล์งานที่เป็นความลับของบริษัท แนะนำว่าให้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันโปร ที่มีค่าใช้จ่าย (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) แต่จะมั่นใจได้ว่าเอกสารที่คุณอัปโหลดขึ้นไปจะถูกเข้ารหัสด้วย SSL (Secure Sockets Layer) แบบเดียวกับที่ใช้ในระบบของการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ หรือการทำธุรกรรมของธนาคารแบบออนไลน์ และป้องกันด้วยไฟร์วอล์อีกชั้นหนึ่ง จึงมั่นใจได้ว่าการทำงานของคุณจะราบรื่น และปลอดภัยอย่างแน่นอน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ crocodoc
ผู้ร่วมก่อตั้ง crocodoc เป็นทีมงานหัวกระทิจากมหาวิทยาลัย MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology ซึ่งมีผลงานคล้ายกัน ก่อนหน้านี้ คือ webnotes.net ซึ่งเน้นใช้งานในหมู่ผู้คณาจารย์และนักศึกษา แต่สำหรับ crocodoc เน้นกลุ่มคนทั่วไป
สำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์ สามารถส่งอีเมล์ไปที่ contact@crocodoc.com เพื่อขอรหัสผ่าน API แล้วนำฟีเจอร์การแก้เอกสารออนไลน์ไปใส่ในเว็บไซต์ของตัวเองได้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://crocodoc.com/api/
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
จับล้านคลิปในยูทูบมาทำริงโทน พร้อมโอนเข้ามือถือฟรี!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 30 มกราคม 2553 22:39 น. |
| |||
"ริงโทน (Ringtone)" หรือภาษาไทยเรียกตรงตัวว่าเสียงเพลงที่ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผ่านการพัฒนามาหลายสเต็ปตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ตั้งแต่เป็นเสียงดนตรีเสียงเดียวเหมือนเพลงจากกล่องดนตรี (MIDI Ringtone) ต่อมาเป็นริงโทนแบบเครื่องดนตรีหลายชิ้นประสานเสียงกัน (Polyphonic Ringtone) ต่อมาเป็นริงโทนเสียงเพลงจริงๆ มีทั้งเสียงดนตรีและเสียงคนร้อง (Truetone Ringtone) และล่าสุดก็ได้พัฒนาเป็นริงโทนที่ดังพร้อมๆ กับมีภาพวิดีโอขึ้นที่หน้าจอ (Video Ringtone) อาจจะกล่าวได้ว่า "เสียงริงโทน" นั้นสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของผู้ใช้มือถือแต่ละคนได้ว่าเป็นคนสไตล์ไหน เช่น ขี้เล่น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง หรือกำลังแอบรักใครบางคน เป็นต้น ในโอกาสนี้จึงอยากเสนอเว็บไซต์ดีๆ ที่จะช่วยให้คุณค้นหา และค้นพบแนวเพลงที่เป็นตัวของคุณเอง และสื่อมันออกมาให้คนอื่นรู้ผ่านริงโทนบนมือถือ โดยวิธีการให้ได้มาซึ่งริงโทนนี้ก็คือ เลือกจากเพลงทุกเพลงที่อยู่ในคลิปวิดีโอของยูทูบที่มีกว่าล้านๆ คลิปล้านๆ เพลงนั่นเอง ต้องเรียนก่อนว่า ถึงแม้คลิปวิดีโอในยูทูบจะอยู่ในรูปแบบของไฟล์วิดีโอ แต่เราก็สามารถแปลงมันให้เป็นนามสกุลเพลงชนิดต่างๆ ได้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ youconvertit l แปลงทุกไฟล์ที่ขวางหน้า ไม่ต้องเสียเวลาลงโปรแกรม) และไม่เพียงเท่านั้น เรายังสามารถตัดเฉพาะท่อนฮุคของเพลง ที่มีเสียงร้องเพราะๆ ติดหู เนื้อหาดีๆ มาเป็นริงโทนได้อีกด้วย ซึ่งความสามารถหลังนี่เองที่เป็นจุดขายของเว็บไซต์ MadRingtones.org ที่เราจะมารีวิวให้รู้จักกันในวันนี้ MadRingtones.org คือ เว็บไซต์ที่ให้คุณ "ตัดเพลงยาวๆ" จากเพลงที่มีอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพ์ หรือเพลงประกอบคลิปวิดีโอยูทูบ ให้เหลือเฉพาะ "ท่อนเด็ดๆ" ที่จะนำมาเป็นริงโทนของมือถือได้นั่นเอง ซึ่งไม่ต้องลงโปรแกรมและสมัครสมาชิกใดๆ ทั้งยังมีริงโทนอีกนับแสนเพลงที่สมาชิกเว็บคนอื่นได้ตัดไว้แล้วให้เราเลือกค้นหา และดาวน์โหลดเก็บไว้อีกด้วย และไม่หมดเพียงเท่านี้ เรายังจะมีวิธีเด็ดที่จะช่วยให้คุณโหลดไฟล์ริงโทนที่ตัดเสร็จแล้วเข้ามือถือ ทันที โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก สายพ่วง หรือเปิดบลูทูธใดๆ ให้ยุ่งยาก คอยติดตามจบบรรทัดสุดท้ายของบทความนี้ก็แล้วกัน สร้างริงโทนจากเพลงประกอบคลิปวิดีโอในยูทูบ นอกเหนือจากคลิปวิดีโอที่เป็นประเภทมิวสิกวิดีโอของศิลปินดังที่ต่าง แห่มาอัปโหลดกันบนยูทูบแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่เราได้ดูคลิปวิดีโอแปลกๆ สุดสร้างสรรค์ ที่มาพร้อมกับเพลงประกอบดีๆ และหากคลิปนั้นไม่มีบทพูดอื่นๆ เลยนอกจากเสียงเพลงเพราะๆ ที่เป็นแบคกราวน์ ก็บอกได้เลยว่าคลิปทั้งหมดนี้เหมาะมากที่จะนำมาทำเป็นริงโทนสำหรับมือถือของ คุณ ดูวิดีโอสาธิตการใช้งาน madringtone ได้ที่นี่ วิธีการใช้งานเว็บไซต์ MadRingtones ตัดริงโทนบนเว็บไซต์สุดง่าย 1. เปิดเว็บไซต์ในคอมพิวเตอร์ แล้วเข้าไปที่ http://www.madringtones.org/ คลิกคำว่า "Click" ปุ่มสีเหลืองๆ แล้ว รอสักพัก ระบบจะโหลดหน้าจอที่มีเครื่องมือพร้อมสำหรับตัดท่อนเพลงที่ชอบ 2. คุณสามารถเลือกแหล่งต้นตอของเพลง ที่จะตัดทำริงโทนได้ 3 แหล่ง ได้แก่ * เพลงในเครื่องคอมฯ (edit from local) ต้องเป็นไฟล์นามสกุล mp3 เท่านั้น * ลิงก์เพลงที่อยู่ในเว็บไซต์ต่างๆ (edit from url) ต้องเป็นไฟล์นามสกุล mp3 เท่านั้น * คลิปวิดีโอยูทูบที่มีเพลงประกอบเพราะๆ (...from YouTube) ซึ่งวันนี้จะแนะนำการสร้างริงโทนจากคลิปวิดีโอในยูทูบ (แต่ทุกขั้นตอนที่เหลือก็เหมือนกัน เพลงแต่แค่ขั้นตอนแรกของเลือกแหล่งของไฟล์ต้นฉบับต่างกันเท่านั้นเอง) 3. กดที่ปุ่ม from YouTube จากนั้นแปะลิงก์ที่อยู่ (URL) ของคลิปวิดีโอของยูทูบลงช่องว่าง แล้วกด load จะพบกับสถานะที่เขียนว่า "loading MP3 to server..." และรอจนกว่าจะมีแถบคลื่นเสียงขึ้นมา (ดังรูป) ประมาณ 10-30 วินาที ขึ้นอยู่กับขนาดของไฟล์วิดีโอยูทูบนั้น 4. ขั้นตอนการตัดเฉพาะท่อนฮุค ข้อแนะนำในการตัดริงโทนให้ไวที่สุดคือ คุณควรเปิดฟังเพลงจากวิดีโอคลิปยูทูบที่ต้องการไว้ก่อน จาก นั้นก็ดูว่าท่อนฮุคของเพลงคือช่วงเวลาที่เท่าไหร่ ถึงเท่าไหร่ เช่น 0:38-1:04 คุณก็ลากเส้นเริ่มต้นที่แถบเสียงของ MadRingtones จาก 0:38 ไปจนถึง 1:04ได้ทันที จากนั้นก็กดปุ่มเล่นเพลง ฟังเพลงเรื่อยๆ จนจบ (จะเห็นว่ามีการติ๊กเลือกหน้าคำว่า fade down ไว้อยู่แล้ว หมายความว่าระบบจะทำให้เสียงเพลงค่อยๆ เบาลงก่อนจบเพลงโดยอัตโนมัติ) นอกจากนี้คุณสามารถกดปุ่ม ctrl แล้วเลือกท่อนที่ต้องการโยกสลับไปมาได้ หรือใช้ปุ่มลัด เช่น ctrl+delete เพื่อลบท่อนที่ไม่ต้องการออกได้ ถ้าถูกใจแล้ว และต้องการบันทึกไฟล์ที่ตัดนี้ไว้เป็นริงโทนของคุณ ก็กดปุ่ม SAVE จากนั้นก็จะลิงก์ไปยังหน้าดาวน์โหลดไฟล์ ซึ่งระบบก็ทำออกมาให้หลายนามสกุล ได้แก่ mp3 (สำหรับมือถือส่วนใหญ่), amr, ogg, m4r (สำหรับไอโฟนโดยเฉพาะ) จากนั้นก็คลิกที่แต่ละนามสกุลไฟล์ที่ต้องการ แค่นี้ก็กดบันทึกไฟล์ริงโทนที่ตัดด้วยฝีมือตัวเองลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ทันที โดยคุณจะพบว่าระบบยังฉลาดมากด้วยการระบุรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับไฟล์ริงโทนนั้นๆ เช่น บอกบิตเรท (bitrate) ความยาวของริงโทน (duration) และขนาดของไฟล์ (size) และแห่งต้นตอของเพลง รวมถึงบอกประเทศของผู้ที่อัปโหลดเพลงนี้ขึ้นมาด้วย ส่งริงโทนที่ตัดเองกับมือเข้ามือถือฟรีๆ อันที่จริงระบบชอง MadRingtones ก็ทำบริการด้านการดาวน์โหลดไฟล์ผ่านมือถือไว้ด้วย โดยทุกๆ ไฟล์ริงโทนที่ตัดเสร็จแล้วจะมีรหัสเพลงประจำของตนเอง ซึ่งสามารถเข้าไปโหลดใส่มือถือได้ทันที โดยหยิบมือถือขึ้นมา แล้วเข้าที่อยู่เว็บ get.madringtones.org ก็จะพบหน้า "แว็บไซต์" ที่ออกแบบมาให้เปิดบนมือถือโดยเฉพาะ และก็เพียงกรอกรหัสประจำเพลงใส่ช่อง Search by ID แล้วกรอกรหัสเพลงทันที กด Get Link ก็จะได้ไฟล์มาบันทึกลงเครื่องมือถือได้เลย แต่เท่าที่ทดสอบกับมือถือหลายเครื่องพบว่าระบบนี้ยังขัดข้องอยู่ไม่สามารถ โหลดริงโทนได้ เราจึงขอแนะนำอีกเว็บไซต์หนึ่งชื่อว่า Beam it up scotty Beam it up scotty ดู เผินๆ เว็บไซต์นี้ก็เหมือนเว็บไซต์ฝากไฟล์ทั่วไป แต่จุดเด่นคือการเน้นสำหรับฝากไฟล์เพื่อให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่ฝากไว้ผ่านมือ ถือโดยเฉพาะ ที่สำคัญไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และไม่ต้องสมัครสมาชิกก่อน ซึ่งทำให้การส่งเพลงจากเว็บเข้ามาที่มือถือนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยไม่ต้องเสียบสายเคเบิลใดๆ อีกต่อไป ก่อนอื่นต้องมั่นใจว่ามือถือของคุณได้เปิดบริการอินเทอร์เน็ตแล้ว (ถ้าปกติคุณอ่านข่าว ASTVผู้จัดการทาง m.manager.co.th หรือ i.manager.co.th บนมือถืออยู่แล้วก็แสดงว่าเครื่องของคุณพร้อมเล่นอินเทอร์เน็ต และใช้บริการส่งไฟล์จากเว็บเข้ามือถือของ Beam it up scotty ด้วยเช่นกัน) 1. เพียงคลิกเปิดแท็ป (Tabs) ถัดไปในเบราว์เซอร์แล้วพิมพ์ที่อยู่เว็บว่า http://beam-it-up-scotty.com/ 2. เมื่ออัปโหลดเสร็จแล้ว (ไม่เกิน 30 วินาที) เราสามารถเลือการบีบอัดไฟล์ได้ (Compression) โดยถ้าเป็นไฟล์เพลงจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ 32 กิโลบิต/นาที และ 128 กิโลบิต/นาที (ยิ่งเล็กก็จะยิ่งโหลดได้ไว แต่คุณภาพเสียง จะลดลง) 3. กดที่ปุ่ม GET DOWNLOAD LINK จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เรากรอกอีเมล์ และ ติ๊กว่ายอมรับเงื่อนไขการใช้งาน (i accept the general terms and conditions) 4. จากนั้นต้องกลับไปยังบัญชีอีเมล์ที่เราสมัครไว้ แล้วคลิกอีเมล์ยืนยันตัวตน และเมื่อคลิกลิงก์ที่อีเมล์ ก็จะได้ลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์ลงมือถือทันที ลิงก์ตัวอย่างริงโทนเพลงฮิต i'm yours ของ Jason Mraz ที่ตัดจากคลิปวิดีโอยูทูบด้วย MadRingtones และส่งเข้ามือถือด้วยบริการของ Beam it up scotty คือ http://beam-it.com/dl/9cc8134/ นอกจากนีข้อดีของบริการ Beam it up scotty คือ มีการบอกขนาดไฟล์ต้นฉบับพร้อมระบุเวลาการดาวน์โหลดโดยประมาณซึ่งขึ้นกับการ เชื่อมต่อเน็ตบนมือถือของเรา อันได้แก่ ระบบ 3G (UMTS), EDGE, และ ช้าสุดคือ GPRS เอาไว้ด้วย อย่างไรก็ดี การใช้บริการของ Beam it up scotty ก็มีเรื่องที่คุณน่ารู้อีกสักนิด ได้แก่ * เว็บนี้จะเก็บไฟล์ที่อัปโหลดไว้ในระบบนาน 1 เดือน * คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องอัปโหลดไฟล์ได้ 6 ไฟล์/วัน (ตรวจสอบจาก IP ของเครื่อง) * การอัปไฟล์แต่ละครั้งต้องมีขนาดใหญ่ไม่เกิน 30 เมกะไบต์/ไฟล์ * นอกเหนือจากไฟล์เพลงแล้ว คุณยังสามารถใช้บริการของที่นี่ในการส่งไฟล์ภาพ คลิปวิดีโอเข้ามือถือได้อีกด้วย ซึ่งนามสกุลไฟล์ยอดฮิตที่รองรับมีดังนี้ .jpg, .gif, .mpg, .avi, .flv และอื่นๆ อีกมาก ถึงตอนนี้ ใครชอบเพลงเก่า เพลงแจ๊ส คลาสสิก ฮิปฮอป เทคโนฯ ก็เลือกค้นหาเพลงโปรดของคุณจากคลิปวิดีโอในยูทูบแล้วมาทำเป็นริงโทนได้ทันที แต่มีทิ้งท้ายเล็กน้อยว่า อยากให้ลองใช้ฟีเจอร์ค้นหาข้อมูลของ MadRingtones เสียก่อน เพราะมีริงโทนเพลงฮอตนับแสนที่ตัดเอาไว้รอให้คุณโหลดอย่างเดียวมากมาย! |
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
คุณ "ให้แม่"..มากกว่าที่แม่ให้คุณหรือยัง?
| |||
| |||
|
ข้อคิดดี ๆ จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ
| |||
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)