วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เข้าใจทุกข์ก็เกิดสุข


Posted by โครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม , ผู้อ่าน : 105 , 00:55:31 น.
หมวด : ศาสนา

พิมพ์หน้านี้


เข้าใจทุกข์ก็เกิดสุข

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

ไม่ มีใครในโลกนี้อยากมีทุกข์หรือประสบเคราะห์กรรม ทุกคนอยากมีสุขด้วยกันทั้งสิ้น แต่เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนก็หนีทุกข์ไม่พ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีมนุษย์คนใดมีทุกข์ตลอดชีวิตและไม่มีใครมีสุขตลอดชีวิตเช่นกัน ชีวิตของมนุษย์จึงมีทั้งทุกข์และสุขคลุกเคล้ากันไป

ดังนั้น เมื่อมีทุกข์ จงอย่าเอะอะโวยวายสงสัยว่า ทำไมกูต้องมีทุกข์ด้วยวะ ?

เพราะถ้าโวยวายสงสัยเช่นนั้นก็จะได้คำตอบแค่เพียงว่า ก็มึงเกิดมาเป็นมนุษย์นี่หว่า โดยไม่สามารถหาทางออกที่จะช่วยคลายทุกข์ได้

ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดเมื่อเกิดทุกข์ก็คือหาทางทำความเข้าใจทุกข์และหาทางออกด้วยสติบนวิถีแห่งธรรม

ในคำสอนของอิสลามจากคัมภีร์มีข้อความน่าคิดให้นำมาใช้ในชีวิตว่า

เรา จะทดสอบสูเจ้าทั้งหลายด้วยบางสิ่งจากความกลัว ความหิวและความสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนที่เมื่อเคราะห์กรรมมาประสบกับเขาแล้ว เขากล่าว แท้จริง เราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺและยังพระองค์ที่เราต้องกลับไป คนเหล่านี้แหละที่จะได้รับพรและความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของเขา และพวกเขาเหล่านี้แหละที่จะได้รับการชี้ทาง(กุรอาน 2:155-156)

จาก ข้อความดังกล่าวข้างต้นทำให้เราได้รู้ว่าความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ยาก ลำบากหรือทุกข์โศกล้วนเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดขึ้นโดยมีวัตถุ ประสงค์แฝงเร้นอยู่หลายประการ

ประการแรกก็คือ พระองค์ ต้องการจะบอกมนุษย์ให้รู้ว่ามนุษย์มิได้เป็นใหญ่หรือมีอำนาจเหนือชะตากรรม ของตัวเอง ถ้าพระเจ้าต้องการจะให้ทุกข์หรือเคราะห์กรรมเกิดขึ้นแก่ผู้ใด มนุษย์ก็ไม่อาจยับยั้งได้ถึงแม้จะมีอำนาจราชศักดิ์หรือเงินทองมากมายเพียงใด ก็ตาม

ประการที่สอง ทุกข์และเคราะห์กรรมถูกกำหนดขึ้นก็เพื่อที่จะทดสอบว่ามนุษย์จะศรัทธาในพระเจ้าและจะยอมสยบต่อพระองค์หรือไม่

ประการ ที่สาม พระองค์ต้องการจะบอกมนุษย์ให้รู้ว่าคุณธรรมสำคัญที่จำเป็นสำหรับการดำเนิน ชีวิตในยามประสบเคราะห์กรรมก็คือความอดทนที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาในพระเจ้า และความเข้าใจถึงความจริงในชีวิ

ใครที่เข้าใจความจริงในเรื่องนี้และยอมรับเคราะห์กรรมโดยกล่าวว่า แท้จริง เราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และยังพระองค์ที่เราต้องกลับไป คน ผู้นั้นก็จะได้รับข่าวดีเรื่องสวรรค์เพราะเคราะห์กรรมและความทุกข์ทำให้เขา เข้าใจว่าเมื่อตัวเองเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ย่อมจะทำอะไรกับเราก็ได้เช่นเดียวกับที่เราเป็นเจ้าของอะไรสัก อย่าง เราก็สามารถที่จะทำอะไรกับมันก็ได้เช่นกัน

เมื่อ คิดหรือทำใจได้เช่นนั้น เขาก็จะวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้าโดยตรง และจะไม่หันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพ่อหรือเจ้าแม่คนใดที่ไม่มีอำนาจอะไรจะ ช่วยเหลือตัวเองได้

คน ที่มีความศรัทธาในพระเจ้าจะเข้าใจความจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เองที่เมื่อผู้ศรัทธาประสบเคราะห์กรรมและมีความทุกข์ เขาจะไม่สิ้นหวังในชีวิต ไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายเพิ่มทุกข์ให้แก่คนที่อยู่ข้างหลังอีก คนเหล่านี้เองที่จะได้รับพรและความเมตตาจากพระเจ้าและจะได้รับทางออกในการ ดำเนินชีวิต

ประการ ที่สี่ เมื่อทุกข์เป็นบททดสอบ นั่นก็หมายความว่าใครที่ผ่านการทดสอบก็ย่อมได้รับการเลื่อนชั้นหรือเลื่อน ขั้น ทุกข์จึงเป็นเสมือนกับแท่นเจียระไนมนุษย์ให้เป็นเพชรเม็ดงาม ใครที่ไม่ได้เผชิญทุกข์ย่อมไม่มีประสบการณ์และความแข็งแกร่ง ถ้าทหารคนใดไม่ได้ผ่านการฝึกนาวิกโยธินก็จะยังคงเป็นทหารธรรมดาตลอดไป แต่ถ้าทหารคนใดผ่านการฝึกนาวิกโยธินถึงขั้นหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำ ทหารคนนั้นก็จะได้รับการเลื่อนขั้นและได้รับการยกย่องจากเพื่อนทหารด้วยกัน ทหารทุกคนรู้ดีว่าหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำนั้นโหดทรหดเพียงใด

ผู้เข้าฝึกอบรมในหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจะผ่านการฝึกได้ต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งและจิตใจที่เข้มแข็งฉันใด มนุษย์ จะผ่านเคราะห์กรรมในชีวิตได้ก็ต้องอาศัยจิตใจที่มีความศรัทธาแข็งแกร่งและมี ความอดทนฉันนั้น ร่างกายจะแข็งแรงได้ก็ต้องอาศัยการออกกำลังทุกวัน ส่วนจิตใจจะแข็งแกร่งได้ก็ต้องอาศัยการออกกำลังเช่นกันและการออกกำลังจิตใจ ก็คือการปฏิบัติศาสนกิจนั่นเอง

ทุกข์ก็เหมือนคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งทุกวันโดยที่มนุษย์ไม่อาจจะยับยั้งมันได้ คนกลัวคลื่นจะหวาดหวั่นและไม่กล้าออกทะเล แต่เมื่อนักเล่นกระดานโต้คลื่นเห็นคลื่นมาก็จะออกไปเล่นกระดานโต้คลื่นอย่างสนุกสนาน

ประการ ที่ห้า บางครั้งเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับผู้ศรัทธาถือเป็นความเมตตาจากพระเจ้าที่ ทรงต้องการลบล้างบาปเล็กๆน้อยๆให้แก่ใครบางคนเพื่อมิให้คนผู้นั้นต้องไปรับ การลงโทษในโลกหน้าที่สาหัสและยาวนานกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น